นายปกรณ์ บริมาสพร ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ไลท์ติ้ง แอนด์ อีควิปเมนท์(L&E)เปิดเผยว่าในปีนี้บริษัทฯ ยังคงเป้าหมายการเติบโตของรายได้ไว้ที่ 10-15% จากปีก่อนที่ทำได้ 1,475.61 ล้านบาท ถึงแม้ว่าการเมืองภายในประเทศจะส่งผลให้โครงการก่อสร้างหลายโครงการเลื่อนออกไปจากเดิม อาทิ กลุ่มโรงแรม รีสอร์ท และร้านค้าปลีกบางแห่ง
แต่เนื่องจากปัจจุบันบริษัทฯ มีงานในมือที่รอรับรู้เป็นรายได้ (Backlog) อยู่ที่ 590 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้เข้ามาในปีนี้ทั้งหมด ประการสำคัญการส่งออกมีตัวเลขสูงขึ้น โดยมีการส่งออกสู่กัมพูชา และฟิลิปปินส์ เข้ามาเพิ่มด้วย และในอนาคตมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นการขยายตลาดและฐานลูกค้าตามนโยบายของบริษัทฯ ที่จะให้ ความสำคัญกับการขยายตลาดไปยังต่างประเทศมากขึ้น ซึ่งคาดว่าจะสนับสนุนให้รายได้จากการส่งออกเติบโตในอัตรามากกว่า 50% ได้สำเร็จ
นอกจากนี้ แนวโน้มธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายโคมไฟฟ้าและอุปกรณ์แสงสว่างในครึ่งปีหลังว่า มีโอกาสเติบโตโดดเด่นกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากช่วงครึ่งปีหลังจะถือเป็นฤดูกาลขาย(high season)ของสินค้าประเภทนี้ โดยเฉพาะในไตรมาส 4 จะเป็นช่วงที่ดีที่สุดของปี ประกอบกับในปีนี้ได้รับปัจจัยบวกจากตัวเลขส่งออกที่เพิ่มมากขึ้นด้วย จึงช่วยสนับสนุนให้ธุรกิจมีทิศทางการเติบโตที่ดีดังกล่าว
นอกจากนั้นที่ผ่านมาบริษัทฯ สามารถบริหารต้นทุนสินค้าในสายการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ต้นทุนสินค้าเฉลี่ยลดลง ส่งผลโดยตรงให้อัตรากำไรขั้นต้น (Goss profit margin) ปรับตัวดีขึ้น สะท้อนให้ผลประกอบการมีโอกาสเติบโตไปในทิศทางเดียวกันด้วย
"ตามปกติช่วงครึ่งปีหลังตัวเลขจะดีกว่าช่วงครึ่งปีแรกอยู่แล้ว เพราะในช่วงครึ่งปีแรกโดยเฉพาะในไตรมาส 2 ของทุกปี จะมีวันหยุดยาวมีวันทำงานน้อย ส่วนไตรมาส 2 ปีนี้ ยังได้รับผลกระทบจากความไม่สงบทางการเมืองด้วย จึงอาจจะทำให้ผลประกอบการออกมาไม่โดดเด่น" นายปกรณ์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม จากที่สถานการณ์ต่างๆ ได้เริ่มฟื้นตัว และเป็นช่วงการปรับปรุงอาคารต่างๆ จึงคาดว่าบริษัทฯ น่าจะได้รับประโยชน์จากความต้องการใช้โคมไฟตกแต่งอาคารที่อาจจะเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อผลประกอบการในครึ่งปีหลังทำให้คาดว่าทั้งรายได้และอัตรากำไรขั้นต้นยังเติบโตในทิศทางที่ดี
นอกจากนั้น กลุ่มผลิตภัณฑ์ LED ที่ลงทุนจัดตั้งบริษัท แอล แอนด์ อี โซลิดสเตท จำกัด ขึ้นมาดูแลการประกอบธุรกิจผลิต โคมไฟฟ้า หลอดไฟฟ้า และอุปกรณ์แสงสว่างที่ใช้ผลิตภัณฑ์ LED อย่างเต็มตัว เมื่อต้นปีที่ผ่านมา คาดว่าโรงงานการผลิตแห่งใหม่นี้จะเริ่มผลิตได้ในไตรมาสที่ 4 นี้ และจะรับรู้เป็นรายได้ทันที
ทำให้บริษัทฯ สามารถผลิตสินค้าในกลุ่มดังกล่าวได้อย่างครบวงจร รองรับความต้องการของลูกค้าได้อย่างคล่องตัว ซึ่งหลังจากนี้จะให้ความสำคัญกับ สินค้า LED ที่เป็นสินค้าดาวรุ่งอย่างจริงจัง เพื่อชดเชยตลาดที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยการเมืองในประเทศ หลังจากพบว่าผลิตภัณฑ์ LED เป็นผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าแสงสว่างที่มีอนาคตและความต้องการใช้เติบโตอย่างรวดเร็ว ทั้งตลาดในประเทศและตลาดโลก จึงเชื่อว่าปัจจัยเหล่านี้จะสนับสนุนให้ผลประกอบการในปี 53 เติบโตต่อเนื่องจากปี 52 ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้