โบรกเห็นพ้อง"ซื้อ"หุ้น บมจ.ทุนธนชาต(TCAP) ตอบรับผลบวกจากการควบรวมกิจการกับธนาคารนครหลวงไทย(SCIB)คาดจะเติบโตโดดเด่นทั้งในปี 53-54 ส่วนผลประกอบการงวดไตรมาส 2/53 คาดว่าจะออกมาดี เนื่องจากไตรมาสนี้คงจะมีการรับรู้ในส่วนของ SCIB เข้ามาด้วย คาดจะรับรู้ประมาณ 300 ล้านบาท รวมทั้งพอร์ตสินเชื่อของ TCAP ก็จะขยายตัวมากขึ้น และคาดผลประกอบการของ TCAP จะดียิ่งขึ้นไปอีกในไตรมาส 3/53 เพราะจะมีการรับรู้เต็มจาก SCIB เข้ามาด้วย
ด้านราคาหุ้น TCAP ในปัจจุบันมองว่ายังถูกอยู่ โดยมีการซื้อขายที่ P/BV ที่ 1.1 เท่า เมื่อเทียบกับกลุ่มแบงก์ที่มีการซื้อขาย P/BV ที่ 1.3 เท่า
นอกจากนี้ ปีนี้(2553)คาดว่า TCAP จะมีการขยายตัวของสินเชื่อเพิ่มขึ้นมาก หลังจากที่ควบรวมกับ SCIB แล้ว พร้อมคาดการณ์กำไรสุทธิปีนี้(2553)ไว้ที่ 5,000-5,800 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว(2552)ที่มีกำไรสุทธิ 5,100 ล้านบาท
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท) บล.ไทยพาณิชย์ ซื้อ 35.00 บล.ทรีนีซี้ ซื้อ 34.00 บล.เอเชีย พลัส ซื้อ 38.78 บล.เคทีซีมิโก้ ซื้อ 32.50 บล.ทิสโก้ ซื้อ 34.50 บล.กรุงศรีอยุธยา ซื้อ 33.50 บล.เกียรตินาคิน ซื้อ 30.50 (กำลังปรับประมาณการ)
นายธนัท รังษีธนานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า ได้แนะนำ"ซื้อ"หุ้นบมจ.ทุนธนชาต(TCAP) ด้วยราคาเป้าหมาย 33.50 บาท เนื่องจากมองว่า TCAP จะรับผลบวกจากการควบรวมกิจการกับ SCIB ซึ่งทำให้แนวโน้มดีต่อ TCAP ในปีหน้า(2554)มาก ส่วนปีนี้ TCAP ก็รับผลบวกแต่ยังไม่มาก
นอกจากนี้ ราคาหุ้น TCAP ในปัจจุบันมองว่ายังถูกอยู่ โดยมีการซื้อขายที่ P/BV ที่ 1.1 เท่า เมื่อเทียบกับกลุ่มแบงก์ที่มีการซื้อขาย P/BV ที่ 1.3 เท่า อีกทั้งคาดว่าผลประกอบการงวดไตรมาส 2/53 จะออกมาค่อนข้างดี
ทั้งนี้ ปีนี้(2553)คาดว่า TCAP จะมีการขยายตัวของสินเชื่อ 114% ภายหลังจากที่ควบรวมกับ SCIB แล้ว ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว(2552)ที่ TCAP มีสินเชื่อโต 3.7% เท่านั้น แต่หากมองการขยายตัวของสินเชื่อของ TCAP ปีนี้เท่านั้น ก็คาดว่าจะโต 7%
พร้อมคาดการณ์กำไรสุทธิปีนี้(2553)ไว้ที่ 5,000 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว(2552)ที่มีกำไรสุทธิ 5,100 ล้านบาท ซึ่งปีที่แล้ว TCAP มีการรับรู้จากการขาย TBANK ให้กับโนวาสโกเทียไป
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเชียพลัส จำกัด กล่าวว่า TCAP เป็นหุ้นที่น่าสนใจลงทุนในช่วงนี้ หลังจากที่มีการควบรวมกิการกับ SCIB ซึ่งจะส่งผลบวกอย่างมากในอนาคตทั้งในแง่ผลประกอบการในไตรมาส 2/53 ที่ใกล้จะประกาศออกมา โดยคาดว่ากำไรจะปรับตัวเพิ่มขึ้นหลังจากควบรวมกิจการ รวมทั้งพอร์ตสินเชื่อก็จะขยายตัวมากขึ้นด้วย โดยเฉพาะฐานลูกค้าที่จะมีความสมดุลย์มากขึ้นถึงแม้ TCAP เองจะมีความแข็งแกร่งในด้านสินเชื่อแล้วก็ตาม
ขณะที่ราคาหุ้นยังถือว่าอยู่ในระดับต่ำมากราคาใกล้เคียงบุ๊คแวลูที่ 1.1 เท่าเมื่อเทียบกับบริษัทอื่นในกลุ่มเดียวกันที่เกินบุ๊คไปที่ 5-6 เท่าดังนั้นจึงซื้อลงทุนได้
"จากนี้จะเห็น TCAP เป็นอีกตัวที่น่าสนใจลงทุน เพราะการควบรวมกิจการจะทำให้มีความแข็งแกร่งขึ้นค่อนข้างมาก มาร์จิ้นก็จะปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง แต่การดำเนินการควบรวมจะใช้ระยะเวลานาน จึงแนะนำซื้อลงทุนในระยะยาว"นักวิเคราะห์ฯ กล่าว
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เกียรตินาคิน จำกัด กล่าวว่าหุ้น TCAP น่าสนใจลงทุนจากผลบวกจากการควบรวมกิจการกับ SCIB ซึ่งทำให้แนวโน้มดีต่อ TCAP ขณะที่คาดการณ์ว่าผลประกอบการงวดไตรมาส 2/53 จะออกมาดีโดยในไตรมาสนี้คงจะมีการรับรู้ในส่วนของธนาคารนครหลวงไทย(SCIB) เข้ามาด้วยที่คาดจะรับรู้ประมาณ 300 ล้านบาท และคาดผลประกอบการของ TCAP จะดียิ่งขึ้นไปอีกในไตรมาส 3/53 เพราะจะมีการรับรู้เต็มจาก SCIB เข้ามาด้วย
ทั้งนี้ TCAP มีการขยายตัวสินเชื่อที่ดีอยู่แล้ว แต่ภายหลังจากที่ได้ควบรวมกับ SCIB ก็จะทำให้สินเชื่อมีการขยายตัวมากขึ้นเป็น 2.9 แสนล้านบาท(งวดพ.ค.)จากก่อนควบรวม TCAP จะมีสินเชื่อรวม 2.1 แสนล้านบาท ซึ่งจะทำให้กำไรสุทธิของ TCAP เติบโต 14% ในปีนี้(2553)ที่คาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 5,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 5,100 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะมีการปรับประมาณการใหม่อีกครั้ง หลังจากที่มีการประกาศผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/53 ออกมา ขณะนี้ยังคงราคาเป้าหมายไว้ที่ 30.50 บาท