บมจ.โกลว์ พลังงาน(GLOW)ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 53 เพิ่มเป็น 4.8 พันล้านบาท จากเดิมคาดไว้ 4.6 พันล้านบาท หลังจากกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น เพราะต้นทุนเชื้อเพลิงทั้งก๊าซและถ่านหินปรับลงมาตามราคาน้ำมัน ขณะที่มีปริมาณการซื้อไฟฟ้าเพิ่มขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัว โดยทำให้กำไรในไตรมาส 2/53 ดีกว่างวดเดียวกันของปีก่อนด้วย
"ปีนี้วอลุ่มซื้อไฟจากลูกค้าเต็มที่ จากปีที่แล้วมีปัญหาเศรษฐกิจ ลดลงไป 20-30% และเรื่องมาร์จิ้นจากการผลิต ซึ่งเป็นตัวหลักที่ทำกำไรสูงขึ้น"นายสุทธิวงศ์ คงสิริ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายการเงิน GLOW กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"
นานสุทธิวงศ์ กล่าวว่า ราคาน้ำมันในปีนี้ไม่ได้ปรับตัวสูงหรือแกว่งตัวมากเกินไปอย่างปีที่แล้ว โดยขณะนี้ราคาอยู่ในช่วง 70-80 เหรียญ/บาร์เรล ส่งผลให้ราคาก๊าซปรับตัวไม่สูง ขณะที่ราคาถ่านหินปีนี้ บริษัทได้เข้าทำสัญญาซื้อล่วงหน้าไว้แล้วที่ราคาเฉลี่ย 75 เหรียญ/ตัน และปัจจุบันราคาวิ่งอยู่ประมาณ 90-100 เหรียญ/ตัน โดยต้นทุนก๊าซคิดเป็นสัดส่วน 90% ส่วนถ่านหินอยู่ที่ 10%
ทั้งนี้ ในช่วง ก.ย.-ต.ค.53 บริษัทเตรียมพิจารณาสั่งซื้อถ่านหินเพื่อล็อคราคาต้นทุนไว้ใช้สำหรับปีหน้า ขณะเดียวกันภาครัฐได้ตรึงค่าไฟฟ้าไปจนถึงสิ้นปีนี้
แนวโน้มการเติบโตกำไรสุทธิของบริษัทในปี 54 จะเพิ่มขึ้นเป็น 5.5 พันล้านบาท จากการรับรู้โรงไฟฟ้าถ่านหินมาบตาพุดเต็มปี รวมทั้งโรงไฟฟ้าก๊าซขนาด 382 เมกะวัตต์จะเดินเครื่อง ก.ย.54 และ โรงไฟฟ้าเก็คโค่-วัน (ถือหุ้น 65%) เดินเครื่องเดือน พ.ย.54 จากนั้นในปี 55 ทั้งสองโรงจะผลิตเต็มทั้งปี ส่งผลให้กำไรสุทธิเติบโตไม่ต่ำกว่า 100% หรือไปที่ประมาณ 8 พันล้านบาท จากกำลังผลิตไฟฟ้าทั้งหมดเพิ่มเป็น 3,275 เมกะวัตต์ จากปัจจุบันผลิตได้ 2,118 เมกะวัตต์
สำหรับการจ่ายเงินปันผล บริษัทยืนยันว่าจะจ่ายไม่ต่ำกว่าปีก่อน และปรับเพิ่มการจ่ายเงินปันผลปีละ 5% จากนโยบายจ่ายปันผล 50% ของกำไรสุทธิ
*โรงไฟฟ้าถ่านหินมาบตาพุดเสียโอกาสกำไร 150-200 ลบ.
ส่วนโรงไฟฟ้าถ่านหินขนาด 115 เมกะวัตต์ที่มาบตาพุดได้รับผลกระทบจากลูกค้าบางรายยังไม่สามารถเปิดดำเนินโครงการได้ อาจทำให้เสียโอกาสในการทำกำไรในปีนี้ไปประมาณ 150-200 ล้านบาท โดยคาดว่าจะสามารถเปิดเดินเครื่องโรงไฟฟ้าแห่งนี้เชิงพาณิชย์กลาง ส.ค.จากที่เลื่อนมาตั้งแต่ พ.ย.52 จากความล่าช้าการส่งมอบอุปกรณ์ และการทดสอบอุปกรณ์ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการทดสอบเดินเครื่อง
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังมีค่าปรับที่จะได้รับจากผู้รับเหมา จากกรณีการส่งมอบงานล่าช้า ซึ่งจะมีการจ่ายค่าปรับวันละ 75,000 เหรียญ/วัน ตั้งแต่ ธ.ค.52 จนถึง เม.ย.53 เมื่อเริ่มทดสอบและมีกระแสดไฟฟ้าจ่ายเข้ามาในระบบ โดยก่อนหน้านี้บริษัทได้เริ่มจ่ายไฟผ้าให้กับลูกค้าด้วยการดึงกระแสไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าเอสพีพี
ปัจจุบัน บริษัทมีลูกค้าคือ โครงการโอเลฟินส์ในกลุ่มบมจ.ปูนซิเมนต์ไทย(SCC)และโครงการของ บมจ.วินีไทย(VNT)ซึ่งทั้งสองโครงการใช้ไฟรวมกันเกือบ 100 เมกะวัตต์ ส่วนบริษัทย่อยในกลุ่ม SCC จำนวน 2 แห่งยังไม่สามารถเปิดดำเนินการได้ ทำให้การใช้ไฟฟ้าไม่เต็มจำนวน
อย่างไรก็ตาม จากที่ต้นทุนการผลิตลดลง ช่วยชดเชยกำไรที่สูญเสียไปจากโรงไฟฟ้าดังกล่าว
*ลงทุนพลังงานทดแทน
นายสุทธิวงศ์ กล่าวว่า บริษัทยังเดินหน้าลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุน 120 ล้านเหรียญสหรัฐหรือ 5 พันล้านบาท ในโครงการพลังงานลม เบื้องต้นศึกษาในแถบภาคอีสาน 2 แห่ง แห่งละ 30 เมกะวัตต์ คาดเริ่มได้ภายในปลายปีนี้ ส่วนโครงการนำร่องโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ในพื้นที่มาบตาพุด ขนาด 3 เมกะวัตต์ ใช้เงินลงทุนราว 200 ล้านบาท โดยเริ่มลงทุนปีนี้เช่นกัน
"โครงการพลังงานลมมี IRR ดีกว่า พลังงานแสงอาทิตย์ พื้นที่ที่เราดูวัดลมมาเกิน 1 ปี แล้ว ตอนนี้กำลังเจรจากรรมสิทธิที่ดินอยู่ ดูแล้วพลังงานลมจะคุ้มทุน 5 ปี"นายสุทธิวงศ์ กล่าว
นายสุทธิวงศ์ กล่าวว่า การลงทุนโครงการพลังงานทดแทนเพื่อช่วยเพิ่มรายได้และมีสภาพคล่อง หรือประคองธุรกิจในคราวที่โรงไฟฟ้าบางแห่งเริ่มทำรายได้น้อยลง
ขณะที่โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเซเปีย-ห้วยซอยในประเทศลาว ขนาด 100 เมกะวัตต์ ขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาโครงการ คาดว่าจะสรุปผลศึกษาได้กลางปี 54 และจากนั้นเจรจาขายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)คาดว่าจะใช้เวลา 6 เดือน และน่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในปี 55 ใช้เงินลงทุนประมาณ 200 ล้านเหรียญสหรัฐ
อนึ่ง โครงการนี้อยู่ภายใต้ บริษัท ไฟฟ้าห้วยเหาะ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุน โดย GLOW ถือหุ้น 67.75% บมจ.เหมราชพัฒนาที่ดิน(HEMRAJ)ถือ 12.25% และรัฐวิสาหกิจไฟฟ้าลาวถือ 20%
ขณะเดียวกันในปี 54 บริษัทมีแผนจะระดมทุนต่อเนื่องอีก 3 พันล้านบาทในการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้า 3 แห่ง ซึ่งอาจจะพิจารณาออกเป็นหุ้นกู้ หรืออาจจะใช้เงินกู้