SET ปิดช่วงบ่ายที่ระดับ 819.54 จุด เพิ่มขึ้น 2.19 จุด(+0.27%)มูลค่าการซื้อขาย 25,709.12 ล้านบาท นักวิเคราะห์ฯเผยตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวในแดนบวกแต่ไม่มาก เพราะถูกกดดันจากคดียุบพรรค ปชป.นัดลงทุนส่วนใหญ่เลือกลงทุนเป็นรายตัวตามข่าวที่เกิดขึ้น แนะจับตาการประกาศงบแบงก์ของเจพีมอร์แกนและเศรษฐกิจจีนคืนนี้ชี้ทิศทาตลาด พร้อมให้แนวรับ 813 จุด แนวต้าน 824 จุด
ตลาดหลักทรัพย์ปิดตลาดช่วงบ่ายวันนี้ที่ระดับ 819.54 จุด เพิ่มขึ้น2.19 จุด(+0.27%)มูลค่าการซื้อขาย 25,709.12 ล้านบาท
การซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีหุ้นไทยแกว่งตัวทั้งในแดนบวกแต่กรอบแคบๆ โดยขยับขึ้นแตะจุดสูงสุดของวันอยู่ที่ระดับ 825.40 จุด ส่วนจุดต่ำสุดของวันอยู่ที่ 819.54 จุด
ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้ เพิ่มขึ้น 247 หลักทรัพย์ ลดลง 108 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 141 หลักทรัพย์
นายวิจิตร ถิรวรรณรัตน์ นักวิเคราะห์อาวุโส บล.พัฒนสิน กล่าวว่า ภาวะตลาดหุ้นไทยในช่วงบ่ายปรับตัวในกรอบแคบๆ แม้จะอยู่ในแดนบวกแต่ก็ไปได้ไม่ไกล ตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นได้น้อยเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเนื่องจากมีประเด็นกดดันจากปัจจัยการเมืองคดียุบพรรค ปชป.บั่นทอนความเชื่อมั่นและการลงทุนในตลาดหุ้น
การลงทุนส่วนใหญ่ในวันนี้เป็นการเลือกเล่นเป็นรายตัวตามข่าวที่เกิดขึ้น อย่าง TMB ถือว่ามีแรงซื้อสวนตลาด แต่น่าจะเป็นการเล่นข่าวประเด็นเดิมการขายหุ้นให้กับพันธมิตร ทำให้มีการเก็งกำไรต่อเนื่องไปจนกว่าจะได้ข้อสรุป และหุ้นที่คาดว่าได้รับผลดีจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยของกนง.0.25% ในวันนี้ แต่ก็ไม่มีนัยสำคัญมากนัก เพราะเป็นไปตามที่คาดการณ์ ต้องติดตามในระยะกลางอาจจะเป็นผลลบ กรณีที่กองทุนต่างประเทศจะมีการปรับพอร์ต
ขณะที่ราคาหุ้นของไทยถือว่าปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างมาก โดยในเดือนมิ.ย ปรับขึ้นถึง 9.4% ซึ่งถือว่าสูงเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นภูมิภาค อย่างฮ่องกงเพิ่มขึ้น 4% ,ไต้หวัน 4% ส่วนจีนลดลง 4 % จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีการเทขายทำกำไรออกมาบ้าง
ส่วนปัจจัยต่างประเทศ ยังไม่มีเรื่องใหม่ๆ โดยแนะนำให้จับตาการประกาศงบกลุ่มแบงก์ โดยเฉพาะเจพีมอร์แกนในคืนนี้ซึ่งหากออกมาดีตลาดหุ้นต่างประเทศนี้ก็น่าจะปรับขึ้น และแนวโน้มเศรษฐกิจจีน แนวโน้มการลงทุนในวันพรุ่งนี้(15 ก.ค.)
นักวิเคราะห์ฯเห็นพ้องกันว่า ตลาดหุ้นไทยคงจะแกว่งตัวผันผวนสูงหรือทรงตัว โดยจะเห็นการเล่นหุ้นกลุ่มเล็กต่อเนื่อง พร้อมให้แนวรับไว้ในช่วง 813 จุด ส่วนแนวต้าน 824 จุด
น.ส.ธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป(ประเทศไทย)กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากต่างประเทศเรื่องการคาดการณ์ผลประกอบการณ์ที่ดีของสหรัฐ ทำให้ Sentiment ของดาวโจนส์ ตลาดน้ำมัน รวมถึงตลาดหุ้นยุโรปเป็นไปในเชิงบวก ส่วนปัจจัยในประเทศได้รับแรงหนุนจากผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)ปรับขึ้นดอกเบี้ยตามคาด
แต่เมื่อตลาดฯปรับตัวขึ้นไปก็ยังคงเผชิญกลับแรงขายทำกำไรออกมาทำให้ลดช่วงบวกลง เนื่องจากนักลงทุนยังคงกังวลในเรื่องของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ และปัญหาหนี้ของยุโรปอยู่ ทำให้การปรับขึ้นของตลาดยังไม่แข็งแรงมากนัก
“ต้องระมัดระวังสำหรับการ trading เพราะดูเหมือนว่านักลงทุนจะเน้นหนักไปทางการเก็งกำไรในระหว่างวันซะมากกว่า โดยเป็นการเวียนกลุ่ม ช่วงที่ผ่านมาจะเห็นว่ากลุ่มแบงก์ค่อนข้างโดดเด่น มีข่าวเฉพาะของบางตัวเข้ามาทำให้มีการ trade และวันนี้ที่เด่นๆก็รู้สึกจะเป็นอิเล็กทรอนิกส์ หลังจากที่อินเทลเปิดเผยผลประกอบการณ์ที่สูงเป็นประวัติการณ์ ทำให้หุ้นอิเล็กทรอนิกส์ฟื้นตัวได้ค่อนข้างที่จะเด่น ส่วนตัวอื่นคิดว่าคงจะอิงไปในเรื่องของการเก็งกำไรงบมากกว่า" น.ส.ธีรดา กล่าว
ส่วนแนวโน้มการลงทุนในวันพรุ่งนี้ ตลาดหุ้นไทยน่าจะมีการแกว่งตัวในกรอบแคบ โดยกลยุทธ์ช่วงนี้ยังคงให้ขึ้นขาย-ลงซื้อ หากขึ้นมาแตะแนว 827 ก็ควรทยอยขายทำกำไร และรอลงแล้วค่อยซื้อ เน้นหุ้นกลุ่มที่อิงกับเรื่องผลประกอบการณ์หรือปันผลระหว่างกาลสูงเป็นหลัก พร้อมให้แนวรับ 811 จุด แนวต้าน 826 จุด
ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่
TMB มูลค่าการซื้อขาย 2,714.13 ล้านบาท ปิดที่ 1.81 บาท เพิ่มขึ้น 0.09 บาท
SCB มูลค่าการซื้อขาย 1,797.50 ล้านบาท ปิดที่ 83.50 บาท ลดลง 0.50 บาท
JAS มูลค่าการซื้อขาย 1,269.81 ล้านบาท ปิดที่ 0.70 บาท เพิ่มขึ้น 0.06 บาท
BBL มูลค่าการซื้อขาย 840.26 ล้านบาท ปิดที่ 126.50 บาท ลดลง 1.00 บาท
STPI มูลค่าการซื้อขาย 701.08 ล้านบาท ปิดที่ 35.75 บาท เพิ่มขึ้น 3.75 บาท