ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดบวก 3.70 จุด ขณะการซื้อขายผันผวนเหตุวิตกแนวโน้มศก.สหรัฐ

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday July 15, 2010 06:38 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดขยับขึ้นเล็กน้อยเมื่อคืนนี้ (14 ก.ค.) ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวน ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดลบ เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจ หลังจากรายงานการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ระบุว่า คณะกรรมการกำหนดนโยบายของเฟดแสดงความกังวลต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐและอาจต้องใช้มาตรการเพิ่มเติมเพื่อรับมือกับภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอ นอกจากนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังถูกกดดันจากรายงานยอดค้าปลีกที่ร่วงลงอย่างหนักของสหรัฐด้วย

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวก 3.70 จุด หรือ 0.04% แตะที่ 10,366.72 จุด ดัชนี S&P 500 ปิดลบ 0.17 จุด หรือ 0.02% ปิดที่ 1,095.17 จุด และดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 7.81 จุด หรือ 0.35% ปิดที่ 2,249.84 จุด

ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 7.59 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นลบมากกว่าหุ้นบวกในอัตราส่วน 16 ต่อ 13 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ราว 9.65 พันล้านหุ้น

ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างผันผวน หลังจากเฟดเปิดเผยรายงานการประชุมว่า เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวปานกลาง แต่มีสัญญาณบ่งชี้ถึงความอ่อนแอ จึงอาจทำให้ทางการสหรัฐจำเป็นต้องใช้มาตรการเพิ่มเติมเพื่อรับมือกับภาวะดังกล่าว ขณะเดียวกันเฟดกล่าวว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐมีแนวโน้มขยายตัวปานกลางไปจนถึงปีหน้า อันเนื่องมาจากผลกระทบในเชิงบวกของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

ขณะเดียวกันเฟดได้ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐในปีนี้ลงสู่ระดับ 3.0 - 3.5% ซึ่งน้อยกว่าที่ได้คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะขยายตัวราว 3.2 - 3.7% ส่วนในปีหน้าคาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวราว 3.5 - 4.2% พร้อมกันนี้เฟดคาดว่า อัตราว่างงานในสหรัฐจะอยู่ที่ระดับ 9.2 - 9.5% ในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่ 9.1 - 9.5%

นอกจากนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังถูกกดดันหลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเผยว่า ยอดค้าปลีกเดือนมิ.ย.ลดลง 0.5% หลังจากที่ร่วงลง 1.1% ในเดือนพ.ค. ซึ่งมากกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าจะขยับลงเพียง 0.2% เนื่องจากยอดขายยานยนต์และราคาน้ำมันที่ปรับตัวลง ทั้งนี้ ถ้าไม่รวมยอดขายรถที่ร่วงลง 2.3% ยอดค้าปลีกเดือนมิ.ย.จะขยับลงเพียง 0.1% หลังจากที่ร่วงลงถึง 1.2% ในเดือนพ.ค.

การที่ยอดค้าปลีกร่วงลงสองเดือนซ้อนทำให้นักลงทุนกังวลว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐอาจไม่แข็งแกร่งและยั่งยืน เนื่องจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคถือเป็นองค์ประกอบสำคัญในการขับเคลื่อนการขยายตัวของเศรษฐกิจ โดยคิดเป็นร้อยละ 70 ของกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐ

ทั้งนี้ การร่วงลงของรายงานยอดค้าปลีกของสหรัฐได้ฉุดหุ้นบริษัทค้าปลีกรายใหญ่ดิ่งลงด้วย โดยหุ้นเจซี เพนนี ปิดลบ 20 เซนต์ แตะที่ 22.99 ดอลลาร์ หุ้นเมซีปิดลบ 9 เซนต์ แตะที่ 18.38 ดอลลาร์ และหุ้นทาร์เก็ต กรุ๊ป ปิดร่วง 24 เซนต์ แตะที่ 49.65 ดอลลาร์

ส่วนหุ้นอินเทลปิดพุ่ง 1.7% หลังจากอินเทลเปิดเผยว่ารายได้สุทธิของอินเทลในไตรมาสสองของปีนี้อยู่ที่ระดับ 2.89 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 51 เซนต์/หุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะอยู่ที่ 43 เซนต์/หุ้น หลังจากเมื่อปีที่ผ่านมา อินเทลขาดทุน 398 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 7 เซนต์/หุ้น เนื่องจากบริษัทจ่ายค่าปรับให้ทางการยุโรป 1.45 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ กรณีละเมิดข้อบังคับต่อต้านการผูกขาด

นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยวันพฤหัสบดี กระทรวงแรงงานจะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ขณะที่เฟดสาขานิวยอร์กจะเปิดเผยดัชนีภาวะธุรกิจโดยรวม (Empire State Index) เดือนก.ค.รวมทั้งข้อมูลการผลิตในภาคอุตสาหกรรมและอัตราการใช้กำลังการผลิตเดือนมิ.ย. และกระทรวงแรงงานจะเปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนมิ.ย.

ส่วนวันศุกร์ กระทรวงแรงงานจะเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนมิ.ย.และกระทรวงการคลังจะเปิดเผยข้อมูลเงินทุนไหลเข้าสุทธิและปริมาณการซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐของต่างชาติเดือนพ.ค.


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ