โบรกเกอร์ ต่างแนะนำ"ซื้อ"หุ้นบมจ.ปูนซิเมนต์ไทย(SCC)มองข้ามไปถึงปีหน้า(54)คาดกำไรเติบโตโดดเด่นจากกำลังการผลิตธุรกิจปิโตรเคมีเพิ่มเข้ามาใหม่เท่าตัว และยังมีแผนลงทุนต่อเนื่องโครงการคอมเพล็กซ์ใหญ่ในเวียดนามด้วย
ส่วนไตรมาส 2/53 ที่บริษัทจะประกาศผลประกอบการในวันที่ 28 ก.ค.นี้ คาดว่าจะมีกำไรสุทธิจะชะลอตัวจากไตรมาสก่อน และไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยประเมินว่าจะมีกำไรประมาณ 5.6-6.8 พันล้านบาท จากราคาปิโตรเคมีปรับตัวลงมาก ทำให้สเปรดลดต่ำไปด้วย ซึ่งถือเป็นโอกาสดีที่จะเข้าทยอยเก็บหุ้น SCC ที่ราคาอาจปรับลดลงตอบรับกับผลงานไตรมาส 2/53
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท) บล.ทรินีตี้ ซื้อ 316.00 บล.โกลเบล็ก ซื้อ 312.00 บล.กิมเอ็ง ซื้อ 300.00 บล.ฟินันเซียไซรัส ซื้อ 298.00 บล.เอเซียพลัส ซื้อ 284.50
นาย สุรชัย ประมวลเจริญกิจ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์ บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย)คาดว่า กำไรสุทธิในไตรมาส 2/53 จะชะลอตัวลง เนื่องจากราคาปิโตรเคมีปรับลดลงมาก ทำให้ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบ(สเปรด)ลดลงเหลือเพียง 479 เหรียญ/ตัน จาก 601 เหรียญ/ตันในไตรมาสแรก
ทั้งนี้ คาดว่ากำไรสุทธิไตรมาส 2/53 น่าจะอยู่ที่ 5.6 พันล้านบาท ลดลงจากไตรมาสก่อน(QoQ)และไตรมาสเดียวกันของปีก่อน(YoY) ประมาณ 18% เท่ากัน อย่างไรก็ตาม ยังมีธุรกิจกระดาษและธุรกิจปูนซิเมนต์เข้ามาพยุง ทำให้กำไรไม่ลดลงไปมากนัก
พร้อมทั้ง ประเมินกำไรสุทธิทั้งปี 53 อยู่ที่ 2.6 หมื่นล้านบาท จากปีก่อนมีกำไรสุทธิ 2.4 หมื่นล้านบาท
แต่ปี 54 กำไรสุทธิคาดเพิ่มเป็น 3.2 หมื่นล้านบาท โดยเมื่อปี 47 บริษัทเคยทำกำไรสูงสุดที่ 3.3 หมื่นล้านบาท เนื่องจากปีหน้าบริษัทจะมีกำลังการผลิตใหม่ของธุรกิจปิโตรเคมีเข้ามาเพิ่มเท่าตัว จะทำให้ EBITDA เพิ่มเป็น 8 หมื่นล้านบาท จากปัจจุบัน 5 หมื่นล้านบาท มีโอกาสที่จะจ่ายเงินป้นผลเพิ่มสูงขึ้นจากเดิมที่ลดการจ่ายปันผล เพราะต้องนำเงินไปลงทุน
อนึ่ง อนาคตรายได้จากธุรกิจปิโตรเคมีจะเพิ่มสัดส่วนเป็น 60-70% จาก 40% ในปัจจุบัน
"ภาพอนาคตดี เพราะมีกำลังการผลิตใหม่ ซึ่งต่อไปนี้ เงินสดก็จะเข้ามามาก เพราะกำลังการผลิตเพิ่มเท่าตัวเมื่อเงินสดเยอะ อีกหน่อยปันผลก็จะดี เพราะฉะนั้นปีหน้าจะเป็นปีที่ดี... ราคาหุ้นช่วงนี้อาจจะซึมๆ ไป แต่คนจะมองไปข้างหน้า โดยราคา Peak สุดแถวๆ 270-280 บาท แต่ราคาสามารถแซง ปตท.ไปได้ ปกติราคา SCC จะต่ำกว่าปตท."นายสุรชัย กล่าว
แนะนำ"ซื้อ" หุ้น SCC เพราะกำไรสุทธิในปีหน้าและปีต่อไปก็จะดีขึ้น ให้ราคาเหมาะสมไว้ที่ 300 บาท P/E 11 เท่า สำหรับปี 54 "พอดีกำไรไตรมาสสองแย่ ก็รอให้ราคาต่ำกว่า 250 บาท ซึ่ง Low เดิมอยู่ที่ 230 บาท ตอนที่เกิดเหตุกาณณ์วุ่นวายทางการเมือง แต่เห็นว่าต่ำกว่า 250 บาทน่าเป็นจังหวะเก็บ" นายสุรชัย กล่าว
ด้านนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ จาก บล.ฟินันเซียไซรัส กล่าวว่า SCC จะมีกำลังการผลิตเพิ่มเข้ามาเต็มที่ได้ปีหน้าเป็นเท่าตัว โดยเอทิลีน เพิ่มขึ้น 9 แสนตัน/ปี จากปัจจุบัน 8 แสนตัน/ปี รวมเป็น 1.7 ล้านตัน นอกจากนี้ยังมีการผลิตเพิ่มขึ้นเท่าตัวใน โพรพิลีน เม็ดพลาสติก HDPE และ LDPE
"น่าสนใจมาก คำแนะนำคือยังให้ซื้ออยู่ เหตุผลหลักจะมีกำไรจากปิโตรเคมี จะเข้าต่อเนื่องตั้งแต่ Q2 ปีนี้จะเริ่มเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ"นักวิเคราะห์ กล่าว
แม้ว่าส่วนต่างของปิโตรเคมีในไตรมาส 2/53 จะต่ำลงมาอยู่ที่ประมาณ 400 เหรียญ/ตัน แต่ปริมาณขายเพิ่มขึ้นจากกำลังการผลิตใหม่ ช่วยทำให้กำไรไม่ลดลงมาก จึงคาดว่ากำไรสุทธิในไตรมาส 2/53 จะใกล้เคียงกับไตรมาส 1/53 ที่มี 6.8 พันล้านบาท หรืออาจชะลอตัวเล็กน้อย และกำไรใกล้เคียงกับไตรมาส 2/52
แนวโน้มครึ่งปีหลัง แม้ว่าสเปรดจะไม่ต่อยดี แต่กำลังการผลิตปิโตรเคมีที่เพิ่มขึ้นมาจะช่วยให้กำไรยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี โดยคาดว่ากำไรสุทธิในปี 53 จะอยู่ที่ประมาณ 28,500 บาท สูงจากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 24,000 ล้านบาท
"ปิโตรเคมีดีมาก ซิเมนต์ก็ใช้ได้ ราคากระดาษก็กระโดด ถ้าราคาลงยิ่งซื้อ แต่พอราคาปิโตรฯลง คนก็คิดว่าแย่แน่ๆ"นักวิเคราะห์ กล่าว
บทวิเคราะห์ของบล.เอเซียพลัส ระบุ SCC เปิดดำเนินงาน Naphtha Cracker แห่งใหม่ หรือ MOC รวมถึงโรงงาน Downstream 2 แห่ง ได้แก่ HDPE#4 และ PP#3 ตั้งแต่เดือน เม.ย. ที่ผ่านมา ใช้กำลังการผลิต 80% ทำให้งวดไตรมาส2/53 มีปริมาณการขายผลิตภัณฑ์ Polyolefin เพิ่มขึ้นกว่า 50%YoY แต่ราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่ปรับลดลงรุนแรง ทำให้คาดว่างวดไตรมาส 2/53 น่าจะมีกำไรจากการดำเนินงาน 5,844 ล้านบาท ลดลง 15%YoY
อย่างไรก็ดี SCC มีแผนลงทุนเพิ่มกำลังการผลิตใหม่ต่อเนื่อง เช่น Petrochemical Complex ในเวียดนามช่วยเสริมศักยภาพการเติบโตในอนาคต จากพื้นฐานที่มั่นคงจากการเป็นผู้นำตลาดในอุตสาหกรรมหลักของประเทศ รวมถึงศักยภาพการเติบโตในระยะยาวจากแผนการลงทุนที่มีอย่างต่อเนื่อง ทำให้คาดว่า SCC จะมีผลการดำเนินงานที่โดดเด่นอย่างมากตั้งแต่ปี 54 เป็นต้นไป โดยคาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 2.9 หมื่นล้านบาท จากปี 53 ที่คาดกำไรสุทธิ 2.48 หมื่นล้านบาท ใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 2.44 หมื่นล้านบาท