นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการผู้จัดการ บมจ.ตลาดอนุพันธ์ (ประเทศไทย)(TFEX) เปิดเผยว่า TFEX จะเริ่มเปิดซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่อ้างอิงกับอัตราดอกเบี้ย หรือฟิวเจอร์สของอัตราดอกเบี้ย 2 ประเภทในวันที่ 18 ต.ค.53 โดยจะซื้อขายฟิวเจอร์สของอัตราดอกเบี้ย(THBFIX)ประเภท 6 เดือน (6-Month THBFIX Futures) และฟิวเจอร์สของอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี (5 Year Government Bond Futures) ซึ่งจะทำการทดสอบระบบร่วมกับสมาชิกตลาดอนุพันธ์ในเดือน ส.ค.นี้
THBFIX เป็นอัตราดอกเบี้ยที่สถาบันการเงินใช้อ้างอิงการทำธุรกรรมอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน และคำนวณโดย Thomson Reuters ฟิวเจอร์สของอัตราดอกเบี้ย THBFIX ประเภท 6 เดือนที่จะซื้อขายนี้ จะมีขนาดของสัญญาเท่ากับ 10 ล้านบาท และชำระราคาเป็นเงินสด ขณะทีฟิวเจอร์สของอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปีนั้น จะอ้างอิงกับกลุ่มพันธบัตรที่มีอายุคงเหลือ 4 - 6 ปี ที่มีมูลค่าคงค้างต่อรุ่นตั้งแต่ 5,000 ล้านบาทขึ้นไป โดย TFEX จะประกาศรายชื่อพันธบัตรในกลุ่มที่ใช้เป็นตัวแทนนี้ให้ทราบโดยทั่วกันก่อนที่สัญญาฟิวเจอร์สนั้นจะเริ่มซื้อขาย ทั้งนี้ ฟิวเจอร์สของอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี จะใช้การชำระราคาเป็นเงินสดโดยไม่มีการส่งมอบพันธบัตรจริง ซึ่งเป็นวิธีการที่ตลาดอนุพันธ์ในภูมิภาคเอเชียส่วนใหญ่ใช้ในการดำเนินงาน
ในการพัฒนาและจัดทำฟิวเจอร์สของอัตราดอกเบี้ยนี้ TFEX ได้ประสานงานกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)อย่างใกล้ชิด โดยปัจจุบัน TFEX ได้จัดทำกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องแล้วเสร็จและอยู่ระหว่างรอสำนักงาน ก.ล.ต. พิจารณาให้ความเห็นชอบ
ระหว่างนี้ TFEX จึงมุ่งเน้นที่จะสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับสินค้าใหม่ดังกล่าวให้แก่กลุ่มผู้ลงทุนสถาบัน เช่น ธนาคารพาณิชย์ บริษัทจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ บริษัทประกันชีวิต เป็นต้น ซึ่งเป็นกลุ่มที่น่าจะได้ใช้ประโยชน์จากฟิวเจอร์สของอัตราดอกเบี้ยในการบริหารความเสี่ยงและสร้างโอกาสในการทำกำไร นอกจากนี้ ยังได้รับความร่วมมือจากสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย และธนาคารพาณิชย์ที่เป็น primary dealer ในการให้ข้อมูลเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยที่ซื้อขายของกลุ่มพันธบัตรรัฐบาลที่ใช้อ้างอิงดังกล่าว
“TFEX เชื่อมั่นว่า การจัดให้มีการซื้อขายฟิวเจอร์สของอัตราดอกเบี้ยนี้ จะช่วยพัฒนาตลาดทุนไทยให้มีสินค้าหลากหลายและเพิ่มทางเลือกในการบริหารความเสี่ยงให้แก่ผู้ลงทุน รวมทั้งเป็นการสนับสนุนการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ไทย ที่มีขนาดใหญ่กว่า 6 ล้านล้านบาทในปัจจุบัน ให้เติบโตต่อไปอย่างมีเสถียรภาพตามนโยบายของภาครัฐ" นางเกศรากล่าว