หุ้น TK ราคาพุ่งขึ้น 8.59 % มาอยู่ที่ 6.95 บาทเพิ่มขึ้น 0.55 บาทมูลค่าการซื้อขาย 37,932.00 ล้านบาทเมื่อเวลา11.19 โดยเปิดตลาดที่ 6.70 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุด 7.20 บาทและราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 6.60 บาท
นายประพล พรประภา รองกรรมการผู้จัดการ บมจ.ฐิติกร (TK) กล่าวว่า การที่ราคาหุ้น บมจ.ฐิติกร(TK)ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องมาหลายวัน น่าจะเกิดจากการที่นักลงทุนเห็นผลประกอบการเติบโตต่อเนื่องอย่างยั่งยืนในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาและต่อเนื่องในปีนี้ ซึ่งจะเห็นได้จากไตรมาส 1/53 กำไรก็สูงเป็นประวัติการณ์ ขณะที่พอร์ตเช่าซื้อก็เติบโตถึง 6%
และทั้งปีเชื่อว่าพอร์ตเช่าซื้อจะเติบโต 20% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่พอร์ตเช่าซื้อเติบโต 15% สวนทางกับตลาดที่ติดลบ 10% จากความต้องการสินเชื่อสูงขึ้น โดยเฉพาะต่างจังหวัด และบริษัทตั้งเป้าที่จะมีสัดส่วนรายได้จากพอร์ตเช่าซื้อทั้งรถจักรยานยนต์และรถยนต์ในต่างจังหวัดเป็น 80% จากปัจจุบัน 60% และกรุงเทพลดลงมาที่ 20% จากปัจจุบัน 40% ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า
นอกจากนี้ เหตุผลส่วนหนึ่งยังมาจากราคาหุ้น TK ต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี(BV)ค่อนข้างมากในช่วงที่ผ่านมา จากปัจจุบันBV อยู่ที่ 6 บาท/หุ้น สภาพคล่องทางการเงินบริษัทก็ดีมีเงินสดในมือกว่า 1,000 ล้านบาท DE อยู่ในระดับต่ำ 1 เท่า จึงเข้ามาลงทุน
ขณะที่บทวิเคราะห์ บล.เอเซียพลัส แนะ"ซื้อลงทุน"หุ้น TK เนื่องจากมีการเติบโตของสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ใน 1Q53 ถึง 5.7% qoq และ 15.9% yoy โดดเด่นกว่าการเติบโตของอุตสาหกรรม
ทั้งนี้ ตลาดหลักของ TK อยู่ในต่างจังหวัดถึง 80% (ฐานลูกค้ารายย่อยที่มีอยู่กว่า 1.6 ล้านราย ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าที่มีหลักฐานทางการเงิน จึงช่วยลดความเสี่ยงไปได้มาก เห็นได้จากสัดส่วน NPL ต่อสินเชื่อรวมที่ต่ำเพียง 3.6% ณ สิ้น 1Q53 อีกทั้งบริษัทฯ ยังมีการตั้งสำรองหนี้ฯ ที่ระมัดระวังมากโดยมี Coverage ratio ที่สูงถึง 141.2% และไม่คิดหลักประกันในส่วนของลูกหนี้ NPL) ส่วนที่เหลือ 20% อยู่ในเขต กทม.
ดังนั้น ภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัว อีกทั้งราคาสินค้าเกษตรในช่วงที่ผ่านมาที่ปรับตัวสูงขึ้น รวมถึงแนวโน้มรายได้ของข้าราชการระดับล่างที่ปรับตัวสูงขึ้นนั้น ล้วนเป็นปัจจัยบวกที่ช่วยสนับสนุนการเติบโตของกำลังซื้อโดยรวมของผู้บริโภคในระดับล่างมากขึ้น
และการที่ TK เป็นผู้ประกอบการ Non-bank ที่ดำเนินธุรกิจให้สินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์รายใหญ่สุดของประเทศ มีส่วนแบ่งตลาดมากเป็นอันดับหนึ่งหรือเทียบเท่า 25% ของมูลค่าตลาดรวม ทำให้มีความได้เปรียบสูงในวัฎจักรอุตสาหกรรมที่อยู่ในช่วงเติบโต เห็นได้จากยอดขายรถจักรยานยนต์ระยะ 5 เดือนแรกปี 53 ที่สูงถึง 7.44 แสนคัน เติบโตถึง 28.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ฝ่ายวิจัยคาดแนวโน้มการเติบโตของผลการดำเนินงาน TK ในระยะ 3 ปีข้างหน้าจะเป็นการทำระดับสูงสุดต่อเนื่องของกำไรสุทธิ ภายใต้การเติบโตของ GDP ที่เป็นไปภาวะปกติ โดยคาดปี 53 จะเป็นปีแรกที่ผลกำไรสุทธิทำระดับสูงสุด เห็นได้จากกำไรสุทธิใน 1Q53 ที่สูงถึง 126 ล้านบาท เป็นระดับที่สูงสุดรายไตรมาสเช่นกัน โดยคาดว่า 2Q53 ยังเติบโตเพิ่มขึ้นต่อเนื่องสู่ระดับ 129 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 2.8%qoq ทั้งที่เป็นช่วง low season และจะกลับขึ้นไปฟื้นตัวเชิงรุก ผลักดันด้วยการเติบโตของสินเชื่อสุทธิในระยะ 1H53 ที่เพิ่มขึ้นราว 10% จากสิ้นปี 2552 ซึ่งยังเป็นไปตามเป้าสินเชื่อสุทธิทั้งปี 53 ที่ตั้งไว้ 20% yoy
ส่วนแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่เป็นทิศทางขึ้นนั้น TK แทบจะไม่ได้ผลกระทบเนื่องจากบริษัทฯด้ทยอยปรับเปลี่ยน โครงสร้างเงินกู้ยืมให้เป็นอัตราดอกเบี้ยคงที่ถึง 70% ของเงินกู้ยืมรวมจากเดิม 50%
ประเมินแนวรับที่ 6.40 บาท แนวต้านที่ 7.50 บาท