นายพงษ์ชัย อมตานนท์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ฟอร์ท คอร์ปอเรชั่น(FORTH)เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า บริษัทมีแผนออกไปลงทุนยังต่างประเทศ ซึ่งเริ่มขึ้นในช่วงครึ่งหลังปีนี้ เพื่อเป็นการขยายธุรกิจและเพิ่มช่องทางการสร้างรายได้ในอนาคต รวมทั้งเป็นการกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจด้วย
"ตอนนี้เราต้องเริ่มมองขยายงานต่างประเทศแล้ว แต่ไม่ใช้งานที่เราทำอยู่ไม่ดี เราก็ยังมีงานต่อเนื่องเพียงแต่จะ ช่วยเราในอนาคตและเป็นการรองรับความเสี่ยงที่เราไม่คาดฝันด้วย แต่ผมว่าในการไปต่างประเทศคงเป็นลักษณะค่อย ๆไปไม่เร่งรีบ"นายพงษ์ชัย กล่าว
การลงทุนในต่างประเทศจะเริ่มจากธุรกิจติดตั้งตู้เติมเงินโทรศัพท์มือถือ ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท ฟอร์ท สมาร์ท เซอร์วิสที่ FORTH ถือหุ้นอยู่ 51% เนื่องจากดีมานด์ในตลาดค่อนข้างสูง หลังจากนั้น จะทยอยส่งสินค้าไปทำตลาดเพิ่มเติม ทั้งแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ และ กล้อง CCTV เป็นต้น หากผลตอบรับดี คาดว่าจะใช้เม็ดเงินลงทุนรวมประมาณ 250 ล้านบาท
บริษัทมีเป้าหมายทำธุรกิจในต่างประเทศจากการเจาะตลาดแถบเอเชียก่อน ทั้งอินโดนีเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ บังคลาเทศ และอินเดีย คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในฟิลิปปินส์เป็นประเทศแรกในช่วงไตรมาส 3/53 รูปแบบการลงทุนจะเป็นการในลักษณะการร่วมทุนกับธุรกิจท้องถิ่น
"อย่างฟิลิปปินส์เราคุยมานานแล้ว แต่คงไม่เป็นการลงทุนเต็มตัวแน่นอน เราไปในลักษณะการร่วมทุน ตั้งบริษัทขึ้นมา เราถือหุ้น 40% และเร็วๆ นี้ก็น่าจะเห็นความคืบหน้าในประเทศอินโดนีเซียที่อยู่ระหว่างการคุยอยู่ 2 ราย น่าจะได้เห็นความชัดเจนและข้อสรุปเร็ว ๆ นี้"นายพงษ์ชัย กล่าว
นายพงษ์ชัย กล่าวว่า ธุรกิจเติมเงินมือถือเติบโตขึ้นมาก ซึ่งในประเทศไทยมียอดเติมเงินโทรมือถือถึง 1.2 แสนล้านบาท/ปี แต่ในต่างประเทศมีปริมาณการเติมเงินที่สูงกว่า อย่างประเทศฟิลิปปินส์มียอดเติมเงินโทรมือถือ 1.4 แสนล้านบาท อีกทั้งผลตอบแทนในแง่ของโอปอเรชั่นต่างประเทศสูงถึง 10% ขณะที่ไทยอยู่ที่ 6%
ขณะที่การติดตั้งตู้เติมเงินโทรมือถือในประเทศไทยนั้นทำยอดรายได้เดือนละ 50 ล้านบาท และยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และคาดว่าทั้งปีจะมีรายได้มากกว่า 1 พันล้านบาท โดยบริษัทตั้งเป้าติดตั้งให้ครบ 1 หมื่นตู้ในปีนี้ และในปีหน้าเป็น 2 หมื่นตู้ จากปัจจุบันที่ติดตั้งแล้ว 4 พันตู้ ซึ่งก็ช่วยหนุนรายได้ของบริษัททั้งกลุ่มเพิ่มขึ้นด้วย
ส่วนธุรกิจแผงวงจรอิเล็คทรอนิคส์ และกล้อง CCTV ก็ยังเติบโตได้ดี และมีลูกค้าเข้ามาต่อเนื่อง โดยเฉพาะการติดตั้งกล้อง CCTV บริษัทเตรียมยื่นซองประมูลในสัปดาห์นี้มูลค่ารวมประมาณ 2 พันล้านบาท คาดว่าจะได้รับงานราว 400 ล้านบาท รู้ผลในอีก 1 เดือนข้างหน้า ส่วนใหญ่เป็นงานสถานที่ราชการของ กทม.นอกเหนือจากงาน 300 ล้านบาทที่บริษัทได้รับไปแล้วในโครงการงบไทยเข้มแข็งที่ทยอยรับรู้ในไตรมาส 2/53-ไตรมาส 3/53 และยังเข้าประมูลงานต่อเนื่องเรื่อยๆ
ดังนั้น บริษัทจึงเชื่อว่ารายได้ในปี 53 จะเป็นไปตามที่ตั้งไว้ว่าจะมีรายได้ 1.3 หมื่นล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้น 30% จากปีก่อนที่มีรายได้ 1 หมื่นล้านบาท ส่วนรายได้ในต่างประเทศคงจะมีผลเป็นนัยสำคัญในปีหน้ามากว่า
ส่วนผลการชุมนุมทางการเมืองที่เกิดขึ้นในกทม.ช่วงเม.ย.-พ.ค.ที่ผ่านมา ยอมรับว่าส่งผลให้กล้อง CCTV ที่บริษัทติดตั้งให้กับ กทม.ได้รับความเสียหายหลายจุด โดยเฉพาะย่านดินแดง ซึ่งตอนนี้บริษัทได้มีการปรับปรุงเสร็จสิ้น คาดจะสามารถดำเนินการส่งมอบงานภายใน 1-2 เดือนนี้ มูลค่าความเสียหายรวมประมาณ 4 ล้านบาท