ขณะที่คาดว่ารายได้ในไตรมาส 3/53 จะเติบโตราว 15% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และ จากนั้นในไตรมาส 4/53 ก็คาดว่าจะมีรายได้เติบโต 15% จากงวดเดียวกันของปีก่อนเช่นกัน ดังนั้น จึงมั่นใจว่าทั้งปี 53 บริษัทจะทำรายได้เติบโตตามเป้าหมายที่ 15%
"แม้ว่ารายได้ในไตรมาส 2 จะอ่อนตัวลงไปตามฤดูกาล และได้รับผลกระทบจาการชุมนุมทางการเมือง ทำให้ยอดขายตกลงไปก็ตาม แต่ความต้องการใช้แก๊สภายในประเทศปีนี้สูงกว่า 10% ช่วยทำให้ยอดขายเติบโตได้ดีในครึ่งปีหลัง"นายศุภชัย กล่าว
วันนี้ SGP รายงานผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯว่า บริษัทจะเข้าซื้อกิจการบริษัท Shell Gas (LPG) Singapore Pte. Ltd.(SGLS) ในสัดส่วนร้อยละ 100 ของทุนจดทะเบียน จาก Shell Gas (LPG) Holdings B.V. มูลค่าทั้งสิ้น 15 ล้านเหรียญสิงคโปร์ หรือเท่ากับ 351.75 ล้านบาท
นายศุภชัย กล่าวว่า SGLS มีรายได้ประมาณปีละ 940 ล้านบาท หรือ 40 ล้านเหรียญสิงคโปร์ และมี EBITDA ปีละ 5 ล้านเหรียญสิงคโปร์ หรือประมาณ 117 ล้านบาท เนื่องจากธุรกิจแก๊สในสิงคโปร์มีอัตรากำไร(มาริ์จิ้น)ดีกว่าในไทย แม้ว่ายอดขายจะไม่สูงมาก เพราะมีประชากรน้อย โดย SGLS ครองส่วนแบ่งตลาด 25% หรือมียอดขายประมาณปีละ 2 หมืนตัน
"ที่เราเข้าไปสิงคโปร์ เพระเป็นไปตามแผนของเราที่จะขยายต่างประเทศ เราติดต่อเข้าไปสิงคโปร์นานแล้ว ...เงินลงทุนก็ไม่ได้มากนัก 15 ล้านเหรียญ กับ EBITDA ที่ได้ปีละ 5 ล้านเหรียญก็คิดว่าคุ้ม" นายศุภชัย กล่าว
ตลาดแก๊สในสิงคโปร์มีผู้ให้บริการ 4 ราย แต่การขยายตลาดคงทำได้ยาก ดังนั้น นายศุภชัย กล่าวว่า เรื่องแรกบริษัทก็จะเข้าบริหารจัดการลดต้นทุนเพื่อทำให้กำไรดีขึ้น ขณะที่ เอสโซ่ ซึ่งเป็นผู้ครองส่วนแบ่งตลาดอันดับหนึ่งในสิงคโปร์ และเป็นผู้ซัพพลายแก๊สให้กับเชลล์นั้น บริษัทก็ได้ติดต่อให้เป็นผู้ซัพพลายแก๊สให้กับ SGLS ต่อไป
ทั้งนี้ บริษัทวางเป้าเติบโตจากธุรกิจที่ลงทุนในต่างประเทศไว้ว่าภายใน 5 ปีข้างหน้า (53-57) บริษัทจะมีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศ เพิ่มขึ้นเป็น 50% จากปัจจุบันอยู่ที่ไม่ถึง 10%
"การเจริญเติบโตต่อไปเราจะเน้นการเติบโตในต่างประเทศ จากนี้ไปจะเห็น revenue contribute เข้ามามากว่านี้ ใน 5 ปีจะเป็น 50/50 จากปี 53 โดตเป็น 50% จากปัจจุบันไม่ถึง 10% เพราะเห็นว่าเวียดนามเราอยู่ในช่วงเริ่มต้น ต้องให้พวกนี้รับรู้เต็มที่ และจีนเราก็ยังไม่ได้รับมอบไม่ได้เต็ม"นายศุภชัย กล่าว