โบรกเกอร์ ส่วนใหญ่ให้คำแนะนำ"ซื้อ/ซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว"หุ้น บมจ.ทางด่วนกรุงเทพ(BECL)เนื่องจากมองว่าโอกาสรับข้อเสนอจากการทางพิเศษฯ ในการขยายอายุสัมปทานออกไปอีก 10 ปีแลกจบ 10 คดีฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย ซึ่งจะส่งผลดีต่อระยะเวลาในการสร้างรายได้ที่จะยืดออกไป
ขณะที่ปริมาณการจราจรบนทางด่วนเริ่มกลับเข้าสู่ปกติในเดือน มิ.ย.โดยมีอัตราเติบโตเกือบ 4%YoY และเห็นแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ หลังจากได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมืองที่เกิดขึ้นในช่วง เม.ย.-พ.ค.53 ขณะที่ค่าใช้จ่ายด้านการเงินปรับลดลงจากผลดีการปรับโครงสร้างหนี้ น่าจะทำให้ผลประกอบการในปีนี้เป็นไปตามเป้าหมาย
แต่ BECL ยังมีประเด็นที่เป็นความเสี่ยงที่จะกระทบกับผลดำเนินงานในปีหน้า คือจะมีการปรับการจ่ายส่วนแบ่งรายได้ให้กับกทพ.เพิ่มเป็น 60% จากเดิม 50% ตั้งแต่ 1 มี.ค.54 อีกทั้งโครงการส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าเส้นทางใหม่ ๆ จะมีผลกระทบต่อปริมาณการใช้ทางด่วนในอนาคต
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท) บล.ทิสโก้ ซื้อ 25.00 บล.ฟิลลิป ซื้อ 22.40 บล.ยูไนเต็ด ซื้อ 23.60 บล.ซิกโก้ ซื้อรับเงินปันผล 21.00 บล.ทรีนิตี้ ซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว 21.60 บล.กิมเอ็ง เต็มมูลค่า 20.80
นายฐาปน พานิช นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทิสโก้ คาดว่า ในที่สุดแล้วการทางพิเศษแห่งประเทศไทย(กทพ.)จะเจรจาขยายสัมปทานให้ BECL ออกไปอีก 10 ปี เพื่อแลกกับการจ่ายเงินชดเชยความเสียหายจากคดีที่ BECL ฟ้องร้องกทพ.กว่า 10 คดี ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริงก็ถือเป็นแรงหนุนหุ้น BECL ต่อไป
“ส่วนแบ่งรายได้ในปีหน้าที่ต้องปรับจาก 50/50 เป็น 40/60 ทำให้ผู้บริหาร BECL เริ่มเป็นห่วงเพราะกลัวว่า dividend จะจ่ายได้ไม่เท่าเดิม CK ที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ก็อยากที่จะให้ maintain การจ่าย dividend ไว้หรือให้จ่ายมากขึ้นในอนาคต ทำให้ BECL ต้องไปกระตุ้นให้ทางการทางพิเศษฯแก้สัมปทาน โดย BECL อาจจะต้องยกฟ้องคดี 10 คดีที่ฟ้องร้องกทพ.ไป เพื่อแลกกลับการยืดสัมปทานออกไปอีก 10 ปี ซึ่งคิดว่าทาง BECL เขาพร้อมที่จะรับข้อเสนอแทนที่จะมาเล่นตัวหรือขอมากขึ้น แต่ทั้งนี้ก็ต้องมารอดูว่าทางรัฐเมื่อไหร่เขาจะพร้อม"นายฐาปน กล่าว
ทั้งนี้ นายฐาปน มองว่าราคา BECL ที่ระดับ 18 บาทในตอนนี้ ถือว่าอยู่ในระดับที่เหมาะสมแล้วสำหรับบริษัทที่สัมปทานกำลังจะหมด แต่หาก กทพ.ต่ออายุสัมปทานให้ BECL ออกไปอีก 10 ปี น่าจะส่งผลบวกโดยตรงกับ BECL เพราะจะทำให้มีเวลาหารายได้มากขึ้น
ขณะที่บทวิเคราะห์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย)ระบุว่า ปริมาณจราจรบนทางด่วนในเดือน มิ.ย.เพิ่มขึ้น 3.79% YoY เฉลี่ยอยู่ที่ 1.01 ล้านคัน/วัน ฟื้นตัวขึ้นหลังจากได้รับผลกระทบการประท้วงและสลายการชุมนุมที่ทำให้ในเดือน เม.ย. และ พ.ค. ลดลง 0.23% และ 7.77% YoY
แต่โดยรวมใน 2Q53 ปริมาณจราจรลดลง 1.36% YoY และ 6.73% QoQ เป็น 82.19 ล้านเที่ยว คาดว่า 2Q53 จะมีกำไรสุทธิลดลง 15.49% มาอยู่ที่ 417.59 ล้านบาท จากรายได้ที่ลดลง 1.27% YoY เป็น 1,804.82 ล้านบาท ตามปริมาณจราจรและค่าใช้จ่ายในการขาย/บริหารที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น และคาดว่าในครึ่งปีแรก 53 จะจ่ายปันผลที่ 0.50 บาท/หุ้น
ส่วนกำไรสุทธิทั้งปี 53 คาดการณ์ไว้ที่ 1,700.39 ล้านบาท โดยมองครึ่งปีหลังปริมาณจราจรน่าจะฟื้นตัวขึ้นและค่าใช้จ่ายทางการเงินลดลง หลังจากมีการปรับโครงสร้างหนี้
ด้านบทวิเคราะห์บล.ยูไนเต็ด จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เดือน มิ.ย.ปริมาณการใช้ทางด่วนกลับมาปรับตัวเพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 4 เดือน เนื่องจากการเมืองที่สงบและเป็นช่วงเปิดเทอม โดยยอดการใช้เพิ่มขึ้น 3.94%YoY มาที่ 950,890 คัน/วัน ส่วนรายได้เฉลี่ยเพิ่มขึ้น 3.53%%YoY มาที่ 20.06 ล้านบาท/วัน ส่งผลให้ปริมาณการใช้ทางด่วน Q2/53 หดตัวลงเพียง 1.36%YoY มาที่ 852,840 คัน/วัน
ยอดการใช้ทางด่วนที่กลับมาฟื้นตัวในเดือน มิ.ย.และมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องตามภาวะเศรษฐกิจ จึงคงประมาณการณ์กำไรปีนี้ไว้ที่ 1.96 พันลบ.แต่สำหรับปีหน้า BECL จะต้องเริ่มแบ่งสัดส่วนรายได้ให้กับ กทพ.มากขึ้น โดยจะเริ่มในเดือน มี.ค.54 ซึ่งจะเป็น BECL 40% และกทพ. 60% (ขณะที่ในปัจจุบันแบ่งแบบ 50:50) จะส่งผลต่อรายได้และกำไรของบริษัทในปี 54
โดยได้ประเมินราคาปัจจัยพื้นฐานปี 53 ที่ 23.60 บาท ซึ่งแม้ว่าแนวโน้มกำไร Q2/53 มีโอกาสหดตัวลงเมื่อเทียบกับปีก่อน แต่แนวโน้มการเติบโตของการใช้ทางด่วนที่กลับมาฟื้นตัวจะช่วยให้ผลประกอบการในครึ่งปีหลังออกมาดี เราจึงปรับคำแนะนำจาก “ซื้อเมื่ออ่อนตัว" เป็น “ซื้อ"
ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนิตี้ จำกัด กล่าวว่า BECL เป็นหุ้นที่ได้รับปัจจัยบวกไปค่อนข้างมากแล้ว โดยครึ่งปีแรกมีการเติบโตค่อนข้างสูงได้รับปัจจัยบวกจากการทยอยเข้าใช้ศูนย์ราชการที่ถนนแจ้งวัฒนะของหน่วยราชการต่าง ๆ และการปิดซ่อมสะพานข้ามแยกทั่วกรุงเทพฯ แต่ในบางเดือนที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาทางการเมืองก็ทำให้รายได้ลงลงไปบ้าง
ส่วนในครึ่งปีหลังคาดว่าปริมาณการใช้ทางด่วนจะเริ่มลดลง และมองว่าการปรับเปลี่ยนส่วนแบ่งรายได้กับ กทพ.ในปีหน้าจาก 50:50 เป็น 40:60 ตามสัญญาสัมปทาน กับเรื่องโครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายในอนาคตยังคงเป็นประเด็นที่น่ากังวล
“มองว่าการปรับลดส่วนแบ่งรายได้กับกทพ.ในปีหน้าเป็น 40:60 จาก 50:50 และโครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายในอนาคตที่จะมาเป็นตัวแย่ง traffic ไป ถือว่าเป็นประเด็นเสี่ยงหลักที่น่ากังวล แต่ที่กทพ.ออกมาพูดว่าอาจจะมีการต่ออายุสัมปทานเพื่อชดเชยในเรื่องค่าอนุมัติขึ้นค่าทางด่วนที่ไม่เป็นไปตามสัญญาน่าจะส่งผลบวกกับ BECL"นักวิเคราะห์ฯ กล่าว
ทั้งนี้ แนะ“ซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว"ด้วยราคาเป้าหมาย 21.60 บาท
ด้านนายสุรศักดิ์ อนุตรโสตถิ์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย)กล่าวว่า แนวโน้มผลประกอบการในปี 54 คาดว่าจะปรับตัวลดลงค่อนข้างมาก เนื่องจากตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.54 จะมีการปรับส่วนแบ่งรายได้ค่าผ่านทางระหว่าง BECL กับ กทพ. จาก 50:50 มาเป็น 40:60 ตามสัญญาสัมปทาน จึงแนะนำ“เต็มมูลค่า"ราคาเป้าหมายที่ 20.80 บาท"