โบรกเกอร์ส่วนใหญ่ แนะ"ซื้อ"หุ้น บมจ.เคซีอี อิเลคโทรนิคส์(KCE)มองแนวโน้มผลการดำเนินงานใน Q3/53 พลิกฟื้น และอาจจะกลับมาทำสถิติสูงสุดใหม่ได้อีกครั้ง เนื่องจากเข้าสู่ฤดูกาลที่ยอดขายจะดีที่สุดในรอบปี อีกทั้งปัญหาต่าง ๆ ที่เคยเกิดขึ้นใน Q2/53 ก็คลี่คลายไปในทางที่ดีทั้งหมด พร้อมมองผลประกอบการปีนี้จะ Turnaround
นอกจากนี้ หลังที่ KCE เข้าซื้อหุ้นบริษัท ไทยลามิเนต ในช่วงที่ผ่านมา มองว่าจะช่วยให้ KCE เพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการ Supply Chain และเพิ่มความสามารถในการผลิตมากขึ้น อีกทั้ง KCE ยังมีโครงสร้างการเงินดีขึ้นจากการปรับโครงสร้างการเงินที่มีต้นทุนต่ำลง อีกทั้งได้รับสิทธิประโยชน์ภาษีมากกว่าที่ประมาณการไว้
ทั้งนี้ โบรกฯต่างปรับประมาณการกำไรสุทธิปีนี้(2553)ของ KCE เพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่ากำไรสุทธิปีนี้จะอยู่ในช่วง 635-681 ล้านบาท
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท/หุ้น) บล.กิมเอ็ง ซื้อ 11.60 บล.เอเชีย พลัส ซื้อ 10.61 บล.ดีบีเอสฯ ซื้อ 10.03 บล.เกียรตินาคิน ซื้อเก็งกำไร 8.80 บล.ยูไนเต็ด ถือ 8.00 +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ นายสมบัติ เอกวรรณพัฒนา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย)กล่าวว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานของ KCE ใน Q3/53 อาจจะกลับมาทำสถิติสูงสุดใหม่ได้อีกครั้ง เนื่องจากเข้าสู่ฤดูกาลที่ยอดขายจะดีที่สุดในรอบปี อีกทั้งปัญหาต่าง ๆ ที่เคยเกิดขึ้นใน Q2/53 ก็คลี่คลายไปในทางที่ดีทั้งหมด นั่นคือคาดว่ายอดขายในครึ่งปีหลังจะเฉลี่ยเป็น 62.5 ล้านเหรียญสหรัฐ/ไตรมาส และแผนการเพิ่มกำลังการผลิตอีก 15% เป็นประมาณ 2 ล้านตารางฟุตต่อเดือน แล้วเสร็จประมาณ Q4/53 แต่คาดว่าจะไปใช้กำลังการผลิตในส่วนเพิ่มที่ดีขึ้นในปี 54 เต็มปีมากกว่า อีกทั้งบริษัทยังคงเดินหน้าในการประหยัดต้นทุนค่าแรง (ใช้เครื่องจักรแทนคนงานมากขึ้น) ค่าไฟฟ้า และค่าน้ำ เป็นต้น นั่นคือ ยอดขายจะเพิ่มสูงขึ้นอีก และอัตรากำไรขั้นต้นยังอยู่ในระดับที่มากได้ ทั้งนี้ ได้มีการปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 53 ของ KCE เพิ่มขึ้นจากเดิมถึง 42% เป็น 681 ล้านบาท และคิดเป็นการเติบโตก้าวกระโดดถึง 297% เทียบกับ yoy เพราะสถานะบริษัทไม่ได้ย่ำแย่อย่างที่คาดไว้แต่แรก จากประเด็นปัญหาค่าเงินยุโรปที่บริษัทมีลูกค้าในสัดส่วนถึง 50-60% เพราะสามารถทดแทนได้จากลูกค้าในแถบเอเชีย หลังจากที่บริษัทมีการตั้งสำนักงานขายที่ญี่ปุ่น และประเทศที่ส่งออกไปคือ เยอรมันและฝรั่งเศส ซึ่งภาวะเศรษฐกิจก็ยังแข็งแกร่ง ส่วนในปี 54 ปรับกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นถึง 66% และเติบโตได้อีก 9% yoy อย่างไรก็ตาม แม้ว่าราคาหุ้นจะปรับตัวสูงขึ้นได้อย่างรวดเร็ว แต่ P/E ปี 53 ยังอยู่ในระดับที่ถูกเป็นเพียง 5.9 เท่า เทียบกับหุ้นขนาดใหญ่และมีพื้นฐานที่ดีคือ DELTA และ HANA ซื้อขายที่ P/E ปี 53 ที่สูงกว่าเป็น 9.5 และ 9.6 เท่า ตามลำดับ กำหนดราคาพื้นฐานใหม่ไว้ที่ 10.03 บาท ซึ่งประเมินด้วย P/E ปี 53 ที่ระดับ 7.0 เท่า ราคาปิดยังมีส่วนเพิ่มได้อีก 19% เทียบกับราคาพื้นฐาน ส่วนคาดการณ์อัตราผลตอบแทนเงินปันผลงวดปี 53 อยู่ในเกณฑ์น่าพอใจเป็น 5.1% ส่วนนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เกียรตินาคิน กล่าวว่า KCE มีประเด็นบวกจากผลประกอบการ Turnaround ในปีนี้ โดยระยะสั้นมองว่า KCE ยังมีปัจจัยบวกแนวโน้ม Q3/53 ที่ดีขึ้นจาก 2Q/53 นอกจากนี้ ยังมีโครงสร้างการเงินดีขึ้น จากการปรับโครงสร้างการเงินที่มีต้นทุนต่ำลง อีกทั้งได้รับสิทธิประโยชน์ภาษีมากกว่าที่ประมาณการไว้ ทำให้ค่าใช้จ่ายการเงิน และค่าใช้จ่ายภาษีมีแนวโน้มต่ำกว่าประมาณการปัจจุบัน จึงปรับเพิ่มประมาณการปกติปี 53 จากเดิม 15% คาดมีกำไรปกติ 635 ล้านบาท ดีขึ้นอย่างชัดเจน และยังคาดจ่ายเงินปันผลปีนี้ในอัตราหุ้นละ 0.17 บาท (yield 2%) อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้น KCE นับจากต้นปี ปรับตัว Outperform กว่า 70% มองว่าสะท้อนประเด็นบวกผลประกอบการ Turnaround ในปีนี้ไปมากแล้ว เหลือ upside จำกัดจากมูลค่าเหมาะสมใหม่ 8.80 บาท/หุ้น จึงแนะนำ “ซื้อเก็งกำไรในช่วงสั้น" นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด กล่าวว่า ได้แนะ"ซื้อ"หุ้น KCE โดยรวมแล้วคาดว่า แนวโน้มกำไรของ KCE ในไตรมาส 3-4/53 จะสามารถพลิกฟื้นกลับมาเติบโตเชิงรุกในระดับที่เทียบเท่ากับกำไรในไตรมาส 1/53 ที่ 335 ล้านบาท และพลิกจากที่ขาดทุน 115 ล้านบาทเมื่อช่วงเดียวกันของปีก่อน และคิดเป็นสัดส่วน 50% ของประมาณการกำไรสุทธิทั้งปี 2553 นอกจากนี้ บทวิเคราะห์ฯ บล.เอเชีย พลัส ได้ระบุว่า ยอดคำสั่งซื้อแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (Printed Circuit Board หรือ PCB)ของบริษัทฯยังคงเติบโตราว 5% qoq และภายหลังที่ KCE เข้าซื้อหุ้นบริษัท ไทยลามิเนตในช่วงที่ผ่านมา จะช่วยให้ KCE เพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการ Supply chain และเพิ่มความสามารถในการผลิตมากขึ้น ส่งผลให้ฝ่ายวิจัยได้ปรับเพิ่ม Gross margin โดยรวมปี 2554 อยู่ที่เท่ากับ 24% จากเดิม 23.4% ดังนั้นประมาณการกำไรสุทธิปี 2553 และ 2554 ใหม่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกราว 6% และ 9% จากเดิม ทั้งนี้ราคาหุ้นปัจจุบันยังมีส่วนลดจากมูลค่าพื้นฐานใหม่ปี 2553 สูงถึง 25% ส่วนกำไรสุทธิในไตรมาส 2/53 คาดว่าจะมี 154 ล้านบาท ลดลงเพียง 14.8% qoq จากเดิมที่เคยประเมินเบื้องต้นว่าจะลดลงถึง 30% จากปัญหาค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเทียบกับเงินยูโรและดอลลาร์ฯ และยังมีปัญหาแผงวงจรไฟฟ้าขัดข้องที่โรงงาน KCET(บางปะอิน)รวมถึงต้นทุนแผ่นลามิเนตและไฟเบอร์กลาสที่ปรับตัวสูงขึ้น แต่ตอนนี้ปัญหาดังกล่าวได้หมดไปแล้ว โดยปัญหาแผงวงจรไฟฟ้าขัดข้องที่โรงงาน KCET ได้แก้ไขเรียบร้อยแล้ว และสามารถกลับมาดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ได้อย่างเต็มที่อีกครั้ง รวมถึงเงินชดเชยส่วนที่เหลืออีกราว 20 ล้านบาท จะรับรู้เป็นรายได้อื่น ๆ ในไตรมาส 3/53 นอกจากนี้ ปัญหาราคาของวัตถุดิบที่ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมามีแนวโน้มที่ราคาจะลดลงตามทิศทางราคาทองแดงที่ชะลอตัวลง ซึ่งจะส่งผลบวกต่อ Gross margin โดยรวมของ KCE ในครึ่งหลังปีนี้(H2/53)