โบรกฯเชียร์"ซื้อ"KBANK เล็งปรับคาดการณ์กำไรปี 53-54 งบ Q2/53 ดีกว่าคาด

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday July 20, 2010 15:32 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โบรกเกอร์ต่างแนะนำ"ซื้อ"หุ้นธนาคารกสิกรไทย(KBANK)มองว่าผลประกอบการแข็งแกร่งในปี 53 ต่อเนื่องปี 54 จากการขยายสินเชื่อที่สูง โดยเฉพาะ SME รวมทั้งไม่มีปัญหาเรื่องหนี้สินด้อยคุณภาพ(NPL)และส่วนต่างดอกเบี้ย(NIM)อยู่ในระดับสูง

หลายโบรกเกอร์ปรับประมาณการกำไรสุทธิในปี 53-54 สูงกว่าคาดการณ์เดิมมาที่ 1.7-1.8 หมื่นล้านบาท และราว 2.2 หมื่นล้านบาทตามลำดับ พร้อมปรับเพิ่มราคาเป้าหมาย หล้งจากประกาศกำไรสุทธิในไตรมาส 2/53 ออกมาดีกว่าที่คาดไว้ โดยมีกำไร 4.76 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.6% YoY, 9.2% QoQ

แนะให้เข้าซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว หรือหลังขายทำกำไรหุ้นกลุ่มแบงก์จากที่งบการเงินออกแล้ว โดยราคาหุ้น KBANK ขึ้นไปสูงสุดที่ 103 บาทในต้นเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา

          โบรกเกอร์             คำแนะนำ          ราคาเป้าหมาย(บาท)
          บล.โกลเบล็ก             ซื้อ                126.00
          บล.เอเซียพลัส            ซื้อ                125.79
          บล.เคจีไอ               ซื้อ                113.00
          บล.ฟาร์อีสท์              ซื้อ                113.00
          บล.ซิกโก้                ซื้อ                113.00
          บล.กิมเอ็ง               ซื้อ                110.00
          บล.กรุงศรีอยุธยา          ซื้อ                103.00
          บล.เกียรตินาคิน           ซื้อ                102.00

น.ส.ศศิกร เจริญสุวรรณ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า บล.ฟิลลิปฯ อยู่ระหว่างปรับขึ้นประมาณการกำไรสุทธิปี 53 ของ KBANK จากเดิมคาดไว้ที่ 1.5 หมื่นล้านบาท และปรับราคาพื้นฐานด้วย จากที่เคยให้ไว้ 107 บาท เพราะกำไรสุทธิในไตรมาส 2/53 ดีกว่าที่คาดไว้มาก และ NIM ที่สูงกว่าคาด รวมทั้งคุณภาพสินทรัพย์ หรือ NPL ดูแล้วไม่เป็นปัญหา

"เราปรับกำลังปรับขึ้นประมาณการกำไร และราคาเป้าหมาย เหตุผลเพราะผลประกอบการครึ่งปีแรกดีกว่าคาด และคิดว่าครึ่งปีหลังจะดี ซึ่ง KBANK จะมีสินเชื่อโตค่อนข้างดีในครึ่งปีหลัง ฉะนั้นมองเป้าสินเชื่อของเขามีความเป็นไปได้สูง"น.ส.ศศิกร กล่าว

ทั้งนี้ผู้บริหาร KBANK คาดว่าปี 53 สินเชื่อจะเติบโตราว 7-10%

"ยังมองว่าน่าซื้อ เพราะทำกำไรไตรมาส 2 ไม่ได้สูงมาก แต่ออกมาดีกว่าที่เราคาดไว้เกือบ 20% ...เราจะปรับขึ้น Fair Value เพราะว่าเห็นกำไรจะดีขึ้น" น.ส.ศศิกร กล่าว

ส่วนนายธนัท รังษีธนานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรีอยุธยา มองว่า KBANK ในปีนี้จะมีกำไรสุทธิเติบโตประมาณ 21% เป็น 1.8 หมื่นล้านบาท จากค่าเฉลี่ยการเติบโตของกลุ่มขยายตัว 13-14% ซึ่งเติบโตดีกว่ากลุ่ม และในปีหน้าคาดว่ากำไรสุทธิจะเติบโต 20% เป็น 2.17 หมื่นล้านบาท ขณะที่ทั้งกลุ่มเติบโต 14% ฉะนั้น ถ้าดูแง่อัตราการเติบโตของผลกำไร KBANK ทำได้ดีกว่ากลุ่ม

อย่างไรก็ตาม ในครึ่งหลังปีนี้ ผลประกอบการอาจลดลงจากครึ่งปีแรกเล็กน้อย อาจมีเรื่องสำรองหนี้เพิ่มขึ้นตามปริมาณสินเชื่อที่ขยายตัว และค่าใช้จ่ายในการลงทุนเพิ่มขึ้นใน K-Transformation และ Channel expansion แต่การลงทุนครั้งนี้คาดว่าในปีหน้าเริ่มเห็นผลทำให้กำไรเติบโตขึ้น

"จริงๆราคา KBANK ถ้าเทียบก่อนหน้านี้ เคยขึ้นไปแตะถึง 100 บาท ไปทำนิวไฮแล้ว ระยะสั้นอาจมีการ take profit กลุ่มธนาคารก็ได้หลังจากงบการเงินออก แต่ผมคิดว่าในครึ่งปีหลัง สินเชื่อ และ สเปรดจะดีขึ้น เพราะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ฉะนั้นรายได้ไม่มีอะไรที่น่ากังวลเลย ทั้งครึ่งปีหลังและปีหน้าด้วย"นายธนัท กล่าว

ทั้งนี้ เขาเลือก KBANK เป็น TOP Picks ของกลุ่ม อย่างไรก็ดี แนะนำซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว เพราะมอง KBANK ยังน่าสนใจลงทุนอยู่ โดยราคาพื้นฐาน 103 บาท เป็นราคาปี 53 และ 12 เดือนข้างหน้าราคาก็ต้องปรับขึ้นไปกว่านี้อีก

ด้านนักวิเคราะห์จาก บล.เอเชียพลัส กล่าวว่า กำไรสุทธิของ KBANK ในไตรมาส 2/53 ประกาศออกสูงกว่าที่คาดไว้ เนื่องจากรายได้ค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้น จากที่คาดว่าจะหดตัวจากเหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมือง โดยในไตรมาส 2/53 NPL ลดลงมาอยู่ที่ 2.97% ส่วนNIM เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/53 ประมาณ 12 bps มาเป็น 3.72%

ในครึ่งปีหลัง เชื่อว่ากลุ่มสินเชื่อ SME ที่อยู่ในกลุ่มส่งออกน่าจะดีขึ้น ซึ่งน่าจะมีปริมาณสินเชื่อเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัย คาดว่ากำไรสุทธิ KBANK ในปี 53 ที่ 17,169 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 15% จากปีก่อน และปีหน้ายังดีอยู่ เพราะสถานการณ์การเมืองในประเทศนิ่งสงบ ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจไทยเติบโต และคาดว่าการลงทุนโครงการ K-Transformation ซึ่งจะช่วยตอบสนองความต้องการและให้บริการได้รวดเร็วยิ่งขึ้น แต่คาดว่าจะเริ่มเห็นการลงทุนส่งผลดีในปีหน้า ที่จะมีบริการเชิงรุกมากขึ้น

"ยังแนะนำซื้อที่ Fair value 125.79 บาท ก็ยังมีส่วนลดหรือ upside อยู่มาก...จุดเด่นของ KBANK จะมีพอร์ตสินเชื่อกระจายไปสู่รายย่อย SME และ Corporte Loan ซึ่งสินเชื่อในกลุ่มSME เป็นสินเชื่อที่ได้รับผลตอบแทนค่อนข้างสูง และ NPL ก็ไม่น่าเป็นห่วง"นักวิเคราะห์ กล่าว

ขณะที่ บทวิเคราะห์ บล.เคจีไอ ปรับเพิ่มกำไรในประมาณการปี 53-54 เป็น 1.79 หมื่นล้านบาทในปี 53 และในปี 54 เป็น 2.24 หมื่นล้านบาท จากการปรับเพิ่มอัตราการเติบโตของสินเชื่อเป็น 9.0% YoY จาก 6.6% YoY ตามสภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้น และผลกระทบจากปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองที่ลดลง

เป็นผลให้ปรับราคาเป้าหมายเป็น 113 บาท (จาก 111 บาท)ตามประมาณการค่า BV และค่า PBV เป้าหมายของเราที่สูงขึ้น ราคาเป้าหมายของเราคิดจากค่า BVPS ที่ 57.24 บาทในปี 53 และค่า PBV ที่ 1.97x (เพิ่มจากค่า PBV เป้าหมายเดิมของเราที่ 1.95x) ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการปรับเพิ่มค่า ROAE และสมมติฐานอัตราการเติบโตของสินเชื่อของ KBANK ของเรา

ส่วนบล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย) ก็ได้ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 53-54 เพิ่มขึ้น 7.6% และ 8.7% เป็น 1.8 หมื่นล้านบาท และ 2.2 หมื่นล้านบาท ตามลำดับ จากสินเชื่อที่ขยายตัวต่อเนื่อง ส่งผลให้ปรับเป้าหมายสินเชื่อปี 53 เพิ่มขึ้นจาก 7% เป็น 8% และจากคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีเกินคาดโดย NPL Ratio ลดลงจาก 3.76% ณ สิ้นปี 52 มาอยู่ที่ 3.19%

และปรับลด credit cost ปี 53-54 ลงจาก 90bps เป็น 73bps ทำให้ค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองฯลดลง 1,598 และ 1,636 ล้านบาท

"เราคงคำแนะนำ“ซื้อ" จากผลประกอบการที่แข็งแกร่ง ประกอบกับแนวโน้มธุรกิจครึ่งปีหลังยังคงเติบโตต่อเนื่องทั้งทางด้านสินเชื่อ NIM และรายได้ค่าธรรมเนียม พร้อมคุณภาพสินทรัพย์ที่ดี NPL Ratio ต่ำสุดในกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่-กลาง มูลค่าที่เหมาะสมปี 53 ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 110 บาท/หุ้น ตามวิธี P/BV Multiplier อ้างอิงกับ 2.0 เท่าของมูลค่าทางบัญชีปี 53" บทวิเคราะห์ระบุ

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ