นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ (BBL) กล่าวว่า ผลประกอบการไตรมาส 2/53 ธนาคารมีกำไรสุทธิ 6,872 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,976 ล้านบาท หรือ 40.4% จากไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว และเพิ่มขึ้น 793 ล้านบาท หรือ 13.1% จากไตรมาสก่อนหน้า
"ในไตรมาสที่ผ่านมา ธนาคารยังคงดำเนินงานตามเป้าหมายหลักสำคัญ 4 ด้านและได้ผลเป็นที่น่าพอใจ ประกอบด้วย การมุ่งเน้นขยายสินเชื่อ การเพิ่มรายได้ค่าธรรมเนียม และการรักษาความแข็งแกร่งทั้งในด้านสภาพคล่องและเงินกองทุน"นายชาติศิริ กล่าว
ไตรมาส 2/53 ธนาคารมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 5.9% จากไตรมาสแรก และเพิ่มขึ้น 2.6% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เนื่องจากธนาคารมีค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยลดลงมากกว่ารายได้ดอกเบี้ยที่ลดลง ทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้นจาก 2.9% ในไตรมาสก่อนหน้าเป็น 3.0%
เงินให้สินเชื่อขยายตัว 2.3% เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปี 53 และขยายตัว 2.6% จาก ณ สิ้นปี 52 ในขณะที่เงินฝากขยายตัว 1.1% จากไตรมาสก่อนหน้า และทรงตัวอยู่ในระดับเดียวกับ ณ สิ้นปีที่แล้ว โดยมีอัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากเพิ่มขึ้นจาก 85.5% ณ สิ้นไตรมาสแรกเป็น 86.5%
รายได้ค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้น 5.7% จากไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว ค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องกับบริการธุรกรรมสินเชื่อเพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของสินเชื่อ ค่าธรรมเนียมบริการอื่นๆ ที่เพิ่มขึ้น ประกอบด้วย ค่าธรรมเนียมบริการเกี่ยวกับส่งออกและนำเข้า บริการประกันชีวิตผ่านธนาคาร (แบงก์แอสชัว-รันส์) และบริการบัตรเครดิต
และในไตรมาสดังกล่าว ธนาคารมีกำไรจากเงินลงทุนจำนวน 2,449 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นกำไรจากการขายหุ้นธนาคารสินเอเซีย จำนวน 306.3 ล้านหุ้น ให้แก่ Industrial and Commercial Bank of China (ICBC)
ส่วนในด้านรายจ่าย ธนาคารมีค่าใช้จ่ายที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 14.9% จากไตรมาส 2/52 รายการสำคัญได้แก่ ค่าใช้จ่ายพนักงานเพิ่มขึ้น 11.4% และค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับอาคารสถานที่และอุปกรณ์เพิ่มขึ้น 7.6%
ณ วันที่ 30 มิ.ย.53 สินเชื่อด้อยคุณภาพมีจำนวน 55,127 ล้านบาทลดลง 1,254 ล้านบาทจากสิ้นเดือนมี.ค.53 และในไตรมาส 2 ธนาคารมีการตั้งค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญ 1,882 ล้านบาท ธนาคารมีสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญจำนวน 70,531 ล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพที่ 127.9%
ธนาคารดำรงสถานะเงินกองทุนในระดับสูง โดยเมื่อนับรวมกำไรสุทธิของครึ่งปีแรกธนาคารมีอัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้นและเงินกองทุนชั้นที่ 1 ต่อสินทรัพย์เสี่ยง อยู่ในระดับประมาณ 17.0% และ 14.0% ตามลำดับ ส่วนของผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 30 มิ.ย.53 มีจำนวน 217,731 ล้านบาท
"ผลประกอบการของธนาคารอยู่ในระดับที่น่าพอใจโดยมีมุมมองที่เป็นบวกต่อแนวโน้มในอนาคต เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจเริ่มปรับตัวดีขึ้นโดยภาคการส่งออกยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย"นายชาติศิริ กล่าว