นายมาร์ค อาร์โนลด์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา(BAY) ระบุว่า ในปีนี้ธนาคารตั้งเป้าลดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL)จากที่มีอยู่ ณ สิ้นปี 52 ที่ระดับ 5.02 หมื่นล้านบาท โดยขณะนี้ลดลงมาต่ำกว่า 4.5 หมื่นล้านบาทแล้ว หลังจากทยอยขาย NPL ไปแล้ว 5,254 ล้านบาทในช่วงไตรมาส 2/53 และจะบันทึกเข้ามาในไตรมาส 3/53 และมองโอกาสที่จะขาย NPL เพิ่มในช่วงครึ่งปีหลัง จากเป้าหมายการขาย NPL ทั้งปี 8,000-10,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ธนาคารมองว่าในช่วงครึ่งปีหลังมีโอกาสที่ NPL จะเร่งตัวขึ้นบ้าง แต่ไม่มากนัก
ธนาคารมีเป้าหมายสินเชื่อในปีนี้ขยายตัวในระดับ 8% หรือคิดเป็นวงเงิน 4.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกเติบโตไปแล้ว 3.2% และธนาคารยังมองโอกาสการซื้อพอร์ตสินเชื่อรายย่อยมาบริหารเพิ่ม ขณะที่ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย(NIM) ในครึ่งปีแรกอยู่ในระดับ 5% แต่ไตรมาส 3/53 อาจดลดลงได้บ้างจากการแข่งขันที่รุนแรง แต่ไตมาส 4/53 ก็มองว่าจะฟื้นตัวขึ้นมา ทำให้ทั้งปีอยู่ที่ 5% ตามเป้าหมาย
นายมาร์ค กล่าวว่า ผลประกอบการไตรมาส 2/53 ธนาคารละบริษัทในเครือมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญและภาษี 6,204 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และ 1% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว
และหลังหักสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญจำนวน 2,905 ล้านบาท และภาษีเงินได้จำนวน 1,162 ล้านบาท ธนาคารมีกำไรสุทธิ 2,137 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24% จากไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว และเพิ่มขึ้น 3% จากไตรมาสที่แล้ว โดยไตรมาส 2/53 ธนาคารมีรายได้ดอกเบี้ยและเงินปันผลสุทธิเพิ่มขึ้น 37% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 18% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว
“ไตรมาสนี้เป็นอีกไตรมาสที่ธนาคารมีผลประกอบการที่แข็งแรงเป็นที่น่าพอใจ กำไรสุทธิเติบโต 24% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และครึ่งปีแรกโต 53% จากครึ่งปีแรกของปีที่แล้ว"นายมาร์ค กล่าว
ด้านสินเชื่อในครึ่งปีแรกเติบโตไปแล้ว 3.2% หรือคิดเป็นเงิน 1.7 หมื่นล้านบาท จากเป้าในปีนี้ที่ 8% หรือคิดเป็นวงเงิน 4.8 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ คาดว่าสินเชื่อในปีนี้มีโอกาสขยายตัวได้ตามเป้า เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมปรับตัวดีขึ้นจึงน่าจะส่งผลให้ความต้องการสินเชื่อสูงขึ้นด้วย
ธนาคารได้เน้นการขยายสินเชื่อในทุกกลุ่ม แต่หลักๆจะเป็นในกลุ่มสินเชื่อรายย่อยที่มีสัดส่วนถึง 42% หรือคิดเป็นมูลค่า 259.1 พันล้านบาท แบ่งเป็นสินเชื่อรถยนต์ในสัดส่วน 19% สินเชื่อที่อยู่อาศัย 13% และสินเชื่อเครดิตการ์ด 11-12% ขณะที่สินเชื่อรายใหญ่คิดเป็น 30% หรือคิดเป็นมูลค่า 183.3 พันล้านบาท และสินเชื่อ SME สัดส่วน 28% หรือคิดเป็นมูลค่า 176.5 พันล้านบาท
ในขณะที่เงินฝากในครี่งปีแรกเติบโตในระดับ 41% สูงกว่าเป้าหมายทั้งปีที่ตั้งไว้ 40% ขณะที่ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ในครึ่งปีแรกอยู่ที่ระดับ 5% แต่คาดว่าในไตรมาส 3/53 อาจจะลดลงได้บ้างจากการแข่งขันที่รุนแรง แต่ในไตรมาส 4/53 มองว่าจะฟื้นตัวขึ้นมา ทำให้ทั้งปีอยู่ที่ 5% ตามเป้าหมาย
ส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPLs) ลดลงจากระดับ 52,080 ล้านบาท ณ วันที่ 31 ธ.ค.52 มาอยู่ที่ระดับ 49,702 ล้านบาท ณ วันที่ 30 มิ.ย.53 และตั้งเป้าจะลดลงอีก 5,254 ล้านบาทในไตรมาส 3/53 มาอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 45,000 ล้านบาท และมองโอกาสที่จะขาย NPL เพิ่มในช่วงครึ่งปีหลัง จากเป้าหมายการขาย NPL ทั้งปี 8,000-10,000 ล้านบาท แต่อย่างไรก็ตาม ธนาคารมองว่าในช่วงครึ่งปีหลังมีโอกาสที่ NPL จะเร่งตัวขึ้นบ้าง แต่ไม่มากนัก
ขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมในช่วงครึ่งปีแรกเติบโตไปแล้ว 52% ซึ่งถือว่าโตเกินเป้าที่ตั้งไว้ที่ระดับ 30% ธนาคารอาจจะทบทวนเป้าหมายดังกล่าวในช่วงไตรมาส 3/53 เนื่องจากในช่วงครึ่งปีหลังยังมีโอกาสเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย แต่ต้องติดตามสถานการณ์ต่างๆ ให้ครอบคลุมก่อน เนื่องจากยังกังวลว่าอาจจะมีปัจจัยเข้ามากระทบให้รายได้ค่าธรรมเนียมชะลอตัวลงได้
และในปีนี้ธนาคารมีแผนจะเพิ่มสาขาอีกประมาณ 20 สาขา จากปัจจุบันที่ 580 สาขา เพื่อรองรับการขยายตัวของลูกค้าในอนาคต
สำหรับแนวโน้มภาวะเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง ธนาคารมองว่าจะต้องมีความระมัดระวัง เนื่องจากมองว่าเศรษฐกิจยังคงมีโอกาสชะลอการขยายตัวลงได้ เนื่องจากมีปัญหาในส่วนของประเทศจีน ยุโรป สหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มในครึ่งปีหลังไม่ดีนัก แม้ว่าหลายฝ่ายจะมองว่าเศรษฐกิจจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นก็ตาม โดยคาดว่าอัตราการเติบโตบองเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะอยู่ที่ระดับ 5% หรืออาจจะมากกว่านั้นเล็กน้อย