บมจ.เอเชีย กรีน เอนเนอจี(AGE)ศึกษาการส่งอออกถ่านหินไปขายในประเทศจีน หลังเห็นความต้องการที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับตลาดอินเดียที่ความต้องการใช้เติบโตมาก ซึ่งจะส่งผลต่อแนวโน้มราคาถ่านหินในช่วงครึ่งปีหลังสูงขึ้นอีกราว 10% จากช่วงครึ่งแรกของปีนี้ที่มีราคาขายเฉลี่ย 2.7-2.8 พันบาท/ตัน
"บริษัทกำลังศึกษาความเป็นไปได้ที่จะทำตลาดส่งออกไปจีนตอนนี้เริ่มสำรวจตลาดถ้าได้ก็จะเริ่มขายในปี 54 เป็นปีแรกยอดขายเบื้องต้นจะประมาณ 3-4 หมื่นตัน/เดือน หรือคิดเป็นรายได้ทั้งปี 1,000 ล้านบาท"นายพนม ควรสถาพร กรรมการผู้จัดการ AGE กล่าว
ขณะที่รายได้และกำไรของบริษัทก็ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาส 2/53 คาดว่าจะสูงกว่าไตรมาส 1/53 ตามยอดขายและราคาถ่านหิน ซึ่งทั้งปี 53 บริษัทตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ประมาณ 1.2 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 20-30% จากปี 52 ที่อยู่ที่ 9.3 แสนตัน ในส่วนของรายได้ปีนี้ตั้งเป้าที่ประมาณ 2,600 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่อยู่ที่ 2,100 ล้านบาท
และในปีหน้าช่วงปลายปี การก่อสร้างคลังเก็บถ่านหินและท่าเรือขนส่งแห่งใหม่ของบริษัทจะแล้วเสร็จ ก็จะส่งผลดีต่ออัตรากำไรสุทธิของบริษัทในปี 55 ให้สูงขึ้นอีก 3-4% จากปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 4%
นายพนม กล่าวว่า รายได้ที่เพิ่มขึ้นจากยอดขายและราคาขายที่ปรับตัวสูงขึ้น จะทำให้ปีนี้กำไรสุทธิของบริษัทในปีนี้จะมากกว่าปีที่แล้วแน่นอน เพราะไตรมาส 1/53 มีกำไรสุทธิแล้ว 25 ล้านบาท สูงกว่าทั้งปี 52 ที่มีกำไรสุทธิ 12.88 ล้านบาท
สำหรับยอดขายครึ่งปีแรกทำได้แล้วกว่า 6 แสนตัน เติบโตราว 20-30% ส่วนครึ่งปีหลังก็คาดว่าจะขายได้ตามเป้าหมาย เพราะแนวโน้มความต้องการใช้เพิ่มขึ้น โดยกลุ่มลูกค้าของบริษัทจะกระจายทั้งโรงไฟฟ้า กระดาษ และปูนซิเมนต์
ส่วนผลประกอบการไตรมาส 2/53 นายพนม คาดว่า ทั้งรายได้และกำไรจะมากกว่าไตรมาส 1/53 ที่มีกำไรอยู่ที่ 25 ล้านบาท เนื่องจากขายถ่านหินได้มากขึ้นและได้ราคาที่ขยับขึ้น โดยไตรมาส 2/53 ราคาขายในประเทศสำหรับรายย่อยอยู่ที่ 2,700-2,800 บาท/ตัน เทียบกับไตรมาส 1/53 ที่ 2,600 บาท/ตัน
ทิศทางราคาในครึ่งปีหลังน่าจะขยับขึ้นต่อได้อีกตามความต้องการดีมานด์ถ่านหินที่เพิ่มขึ้นทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะที่จีนและอินเดีย เนื่องจากในจีนมีการสร้างโรงไฟฟ้าจำนวนมาก คาดว่าราคาถ่านหินตลาดโลกในปีนี้น่าจะไปถึง 120 ดอลลาร์/ตัน จากปัจจุบันราคา BJI อยู่ที่ 100-110 ดอลลาร์/ตัน ส่วนราคาขายในประเทศต่อจากนี้จนถึงสิ้นปีราคาจะขยับขึ้นอีก 10% ซึ่งราคาขายให้รายย่อยก็น่าจะอยู่ที่ 2,800-3,000 บาท/ตัน และหากเป็นถ่านหินที่มีค่าความร้อนสูงน่าจะอยู่ที่ 3,000 บาทขึ้นไป/ตัน
บริษัทกำลังเร่งก่อสร้างคลังเก็บถ่านหินและท่าเทียบเรือแห่งใหม่โดยจะเริ่มก่อสร้างใน 1-2 เดือนนี้และจะแล้วเสร็จและเปิดดำเนินการได้ภายในปลายปี 54 ซึ่งจะทำให้บริษัทลดต้นทุน ลดค่าใช้จ่ายในการขนถ่านหินได้ 3-4% ก็จะส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 3-4% ในปี 55 เป็นต้นไป จากปัจจุบันอยู่ในระดับ 4% กว่า และในส่วนของอัตรากำไรขั้นต้น จากเดิม 14-15% ก็จะเพิ่มขึ้นอีก 4-5%
ปัจจุบัน บริษัทมีสต็อกถ่านหิน 3 แสนตัน เพื่อสำรองการขายได้ 3 เดือน แต่ภายในเดือน ส.ค.บริษัทจะพิจารณาเพิ่มสต็อกเป็น 4 แสนตัน ตามดีมานด์ของตลาดที่เพิ่มขึ้น