โบรกเกอร์เห็นพ้องแนะ"ซื้อ"หุ้น บมจ.เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป(MAJOR)ยัง Laggard หุ้นตัวอื่นในกลุ่มบันเทิง มองรายได้ในปีนี้ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะธุรกิจภาพยนตร์ที่มีหนังฟอร์มยักษ์ที่จ่อคิวเข้าฉายต่อเนื่อง พร้อมทยอยปรับขึ้นค่าตั๋วสูงขึ้น แม้ว่าช่วงไตรมาส 2/53 จะต้องปิดโรงหนังหลักที่พารากอนและเซ็นทรัลเวิลด์ไปช่วงหนึ่ง แต่ผลกระทบมีไม่มาก
ขณะที่รายได้โฆษณาปรับตัวดีขึ้นตามทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยเห็นสัญญาณการชัดเจนตั้งแต่ไตรมาส 2/53 และแนวโน้มในครึ่งปีหลัง ส่วนกิจการของธุรกิจในเครือและธุรกิจร่วมไปได้ดี โดยเฉพาะ SF ที่มีการเปิดสาขาใหม่เพิ่มขึ้น และมีการรับรู้รายได้จาก MPIC เข้ามาเต็มที่ แต่อีกด้านก็สลัดการรับรู้ผลขาดทุน CAWOW หลังลดสัดส่วนการถือหุ้นไปแล้ว
ด้านกิจการในต่างประเทศที่อินเดียเดินหน้าไปได้ดีและมีโอกาสที่จะขยายงานไปได้อีกมาก ซึ่งบริษัทเริ่มจากเป็นการปรับปรุงโรงหนังเก่ามาเป็น Multiplex
ในปีนี้ MAJOR ยังจะรับรู้รายได้จากการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนอสังหาริมทรัพย์เพิ่มเติมในช่วงไตรมาส 3/53 น่าจะสร้างกำไรจากการขายสินทรัพย์ดังกล่าวประมาณ 150 ล้านบาท
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท/หุ้น) บล.กิมเอ็ง ซื้อ 11.80 บล.ทรีนีตี้ ซื้อ 15.00 บล.ธนชาต ซื้อ 14.00 บล.ฟิลลิป ซื้อ 11.70 บล.ทิสโก้ ถือ 9.00
น.ส.สุทธาทิพย์ พีรทรัพย์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย)กล่าวว่า ผลประกอบการของ MAJOR ปีนี้ภาพรวมทั้งปีนี้ถือว่าฟื้นตัวจากปีที่แล้ว ซึ่งหากดูเป็นรายไตรมาสคาดว่างบไตรมาส 2/53 ที่กำลังจะประกาศออกมาในเดือนหน้าจะมีการเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยเฉพาะเทียบในแง่ของรายได้จากภาพยนตร์
แม้ว่าถ้าแยกเป็นเรื่องๆ ปีนี้อาจจะสู้ปีที่แล้วไม่ได้ เพราะภาพยนตร์ที่เข้าฉายในไตรมาส 2/52 ค่อนข้างดี มีภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่ 2-3 เรื่อง แต่ปีนี้มีจุดบวกที่สำคัญ คือ ราคาตั๋วชมภาพยนตร์ เนื่องจากได้มีการทยอยปรับราคาตั๋วให้สูงขึ้นเรื่อยๆ และมีการฉายภาพยนตร์หลากหลายรูปแบบทั้ง Imax และ 3D ทำให้ได้ราคาตั๋วสูงขึ้น และภาพยนตร์บางเรื่องในปีนี้สามารถทำรายได้ต่อเรื่องได้ดี
ในส่วนของธุรกิจโฆษณาในโรงภาพยนตร์ปีนี้ก็ถือว่าฟื้นตัวดีขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยไตรมาส 2/52 ค่อนข้างแย่ และในไตรมาส 2 ปีนี้มีการรับรู้รายได้จาก บมจ.เอ็ม.พิคเจอร์ส(MPIC)จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ MAJOR ถือหุ้นอยู่เข้ามาเต็มไตรมาส จากช่วงเดียวกันของปีก่อนไม่มีรายได้ส่วนนี้ เพราะยังไม่ได้ปรับโครงสร้างธุรกิจ
ประกอบกับ MAJOR ได้ปรับลดสัดส่วนการถือหุ้น บมจ.แคลิฟอร์เนีย ว้าว เอ็กซ์พีเรียนซ์(CAWOW)จาก 37% เหลือ 19% เมื่อ พ.ย.52 ทำให้ปี 53 บริษัทไม่ต้องรับรู้ผลขาดทุนของ CAWOW อีกต่อไป แต่จะไปบันทึกเป็นส่วนของเงินลงทุนในงบดุล ซึ่งถือเป็นข่าวบวก ทำให้ภาพรวมของส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมพลิกจากขาดทุนมาเป็นกำไรได้ เพราะฉะนั้นจึงมองว่าในไตรมาส 2/53 กำไรของ MAJOR น่าจะมีโอกาสโตขึ้นจากปีที่แล้ว
ส่วนเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองและการชุมนุมที่แยกราชประสงค์ในช่วงเดือนเม.ย.-พ.ค.53 ที่ผ่านมา ไม่ได้ส่งผลประทบต่อรายได้ของ MAJOR มากนัก แม้ว่าสาขาโรงภาพยนตร์ที่พารากอนและเซ็นทรัลเวิลด์จะต้องปิดไปและไม่สามารถสร้างรายได้เข้ามาในช่วงเวลาดังกล่าว แต่ในแง่ของรายจ่ายก็ลดลงไปด้วยและลูกค้าก็ย้ายไปใช้บริการในสาขาอื่นๆแทน
นายกิจพล ไพรไพศาลกิจ นักวิเคราะห์ บล.ทรีนีตี้ มองว่า ในปีนี้ MAJOR จะได้รับผลดีจากภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ที่จะเข้าฉาย รวมถึงรายได้โฆษณาที่ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง และผลดีจากการเปิดสาขาใหม่ของเอสพลานาดที่งามวงศ์วาน-แครายที่จะสามารถรับรู้รายได้ค่าเช่าเต็มในปีนี้
ขณะเดียวกันก็มีประเด็นสนับสนุนในเรื่องของการที่บริษัทจะขายสินทรัพย์อสังหาริมทรัพย์เข้ากองทุนในช่วงไตรมาส 3/53 ซึ่งน่าจะทำให้ MAJOR มีกำไรพิเศษประมาณ 150 ล้านบาท
หุ้นของบริษัทลูกที่ MAJOR ถืออยู่หลายตัวก็มีมูลค่าปรับเพิ่มขึ้นมาก โดยเฉพาะ บมจ.สยามฟิวเจอร์ ดีเวลอปเมนท์ (SF) ล่าสุดได้มีการเพิ่มทุน SF มาที่ราคา 1.2 บาท ตรงนี้บริษัทก็จะมีมูลค่าเงินลงทุนสูงขึ้นมาก และถ้าเกิดมีการขายหุ้นในอนาคตก็จะทำให้มีกำไรจากตรงนี้เพิ่มขึ้น
สำหรับการขยายการลงทุนในประเทศอินเดีย คาดว่าจะมีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยหลักๆคงจะเป็นเรื่องของการปรับปรุงโรงภาพยนตร์แบบเก่ามาเป็นแบบ Multiplex ตรงนี้มองว่าโอกาสในประเทศอินเดียยังมีอีกมากสำหรับ MAJOR
แต่ด้านธุรกิจเคเบิลทีวีที่ MAJOR ร่วมลงทุนกับ บมจ.กันตนา กรุ๊ป เชื่อว่า คงไม่ได้เป็นตัวที่สร้างรายได้ให้กับ MAJOR มากนัก แต่จะเป็นช่องทางในการประชาสัมพันธ์ที่มีราคาถูกและไม่มีต้นทุน ซึ่งจะช่วยทำให้คนจดจำ MAJOR ได้มากขึ้น
ด้านบทวิเคราะห์ บล.ธนชาต ปรับราคาเป้าหมายหุ้น MAJOR ขึ้นราว 25% มาอยู่ที่ 14 บาท/หุ้น จาก 11 บาท/หุ้น โดยมองว่า MAJOR เป็น laggard play ทั้งในแง่กำไรและราคาหุ้นเมื่อเทียบกับหุ้นอื่นในกลุ่มบันเทิง โดยการฟื้นตัวของกำไรเพิ่งจะเริ่มขึ้น คาดว่ากำไรจะเติบโตขึ้นอย่างมากจากช่วง 2H10 เป็นต้นไป และมองว่า MAJOR มีความอ่อนไหวต่อการเติบโตของรายได้โฆษณาอย่างมากอีกด้วย
อัตราการเติบโตของกำไร MAJOR ขึ้นกับการเติบโตของรายได้โฆษณา แต่โฆษณาในโรงภาพยนตร์เป็น niche market ดังนั้น บริษัทฯ จึงเป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของค่าใช้จ่ายโฆษณาช้าที่สุด แต่อย่างไรก็ตามเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจน เริ่มตั้งแต่ 2Q10 และคาดว่าบริษัทจะรายงานอัตราการเติบโตของรายได้ค่าโฆษณาราว 30%y-y ในช่วง 2Q10 และโต 31%y-y ใน 2H10
เนื่องจากกำไรของ MAJOR มีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงรายได้ค่าโฆษณาในระดับสูง จึงคาดว่า EPS จะเติบโตมากกว่าในช่วง 2Q09 ถึง 9 เท่า นอกจากนี้ยังทำให้ EPS เติบโตราว 53% ในปี 2010F และ 30% ในปี 2011F อีกด้วย
และมองว่าธุรกิจโรงภาพยนตร์จะกลับมาดีขึ้นใน 3Q10 เนื่องจากสาขาพารากอนซึ่งสร้างรายได้ให้สูงสุดกลับมาเปิดทำการได้ตามปกติตั้งแต่เดือน มิ.ย.และความตึงเครียดทางการเมืองบรรเทาลงแล้วในปัจจุบัน ขณะที่มีภาพยนตร์เข้าฉายแข็งแกร่งในช่วง 2H10 ได้แก่ พระนเรศวร ภาค 3, Twilight 3 (Eclipse) และ Harry Potter 7.1
นอกจากนี้ กลยุทธ์การปรับราคาขายตั๋วชมภาพยนตร์เฉลี่ย (ATP) ยังเป็นไปได้ดี แม้ว่าจะมีความวุ่นวายทางการเมืองเกิดขึ้นในช่วง 2Q10 (คาด ATP เพิ่มขึ้น 4%y-y ในช่วง 2Q10) เพราะมีภาพยนตร์เข้าฉายแข็งแกร่งในช่วง 2H10 จึงปรับ ATP ขึ้นราว 2% ในปี 2010-11F และ MAJOR ยังถือว่าเป็นหุ้นบันเทิงที่ถูกที่สุดและคาดว่าราคามีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นไปได้อีก
ขณะที่บทวิเคราะห์ บล.ฟิลลิป มองว่า ใน 6M53 งบโฆษณารวมเติบโตที่ 13.21% YoY และแนวโน้มเดือน ก.ค.ที่ยังดีทำให้การเติบโตของเม็ดเงินโฆษณาทั้งปีน่าอยู่ในช่วง 12-15% ได้ตามคาด ยังคงคำแนะนำ“ลงทุนมากกว่า ปกติ"ในกลุ่มสื่อ และสิ่งพิมพ์ Top Pick อยู่ที่ MCOT และ MAJOR , RS ซึ่งเป็นผู้ได้รับลิขสิทธิ์ถ่ายทอดฟุตบอลโลก แนะนำ “เก็งกำไร" ในผลประกอบการ 2Q53 ส่วน BEC จะมีการพิจารณาประมาณการหลัง 2Q53 ยังเติบโตได้