นายศิริพงษ์ อุ่นทรพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.แอ็ดวานซ์ อินฟอร์เมชั่น เทคโนโลยี(AIT) คาดว่าในไตรมาส 2/53 บริษัทจะมีรายได้ดีกว่าไตรมาส 1/53 และคาดว่าจะมากกว่าค่าเฉลี่ยในของแต่ละไตรมาส ซึ่งน่าจะช่วยชดเชยรายได้ในไตรมาส 1/53 ที่ต่ำลงจากไตรมาสสุดท้ายของปีก่อน เนื่องจากในช่วงนั้นมีการรับรู้รายได้ไปมากทำให้การรับรู้รายได้ในไตรมาสแรกของปีนี้ลดลง
อนึ่ง ไตรมาส 1/53 บริษัทมีรายได้รวม 513.49 ล้านบาท ลดลง 20.67% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 1/52 ที่มีรายได้ 647.32 ล้านบาท ขณะที่ในด้านกำไรสุทธิอยู่ที่ 55.6 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.91 บาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 51.66 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.86 บาท
ทั้งนี้ บริษัทจะนำงบการเงินไตรมาส 2/53 เสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทพิจารณาอนุมัติในวันที่ 6 ส.ค.นี้ ขณะนี้จึงยังไม่สามารถเปิดเผยได้ว่าจะมีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลหรือไม่ และหากมีจะจ่ายในอัตราเท่าใด เพราะขึ้นกับการพิจารณาของคณะกรรมการบริษัท
"ในวันที่ 6 สิงหาคม จะมีการพิจารณาการจ่ายปันผลระหว่างกาล คือตอนนี้ก็ยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าจะมีการจ่ายปันผลหรือไม่ และถ้ามีจะกี่บาทจะมากกว่าหรือน้อยกว่าปีที่แล้วก็ต้องรอดู แต่ถ้าพูดถึงรายได้ก็ถือเป็นไปตามเป้า"นายศิริพงษ์ กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"
นายศิริพงษ์ กล่าวอีกว่า ขณะนี้บริษัทมองว่ารายได้รวมในขณะนี้ทำได้แล้วกว่า 75% ของเป้าหมายรายได้ทั้งปีที่วางไว้ในระดับ 4 พันล้านบาท และต้องรอดูว่าอีก 25% ที่เหลือจะรับรู้ได้ทันสิ้นปีหรือไม่ โดยต้องรอดูออร์เดอร์ใหม่ๆว่าจะมีเข้ามามากน้อยแค่ไหน ซึ่งคาดว่าภาพรวมจะชัดเจนขึ้นในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า
แนวโน้มในครึ่งปีหลังมองว่าคงจะมีงานต่างๆ เข้ามามากขึ้น เนื่องจากเป็นช่วงใกล้สิ้นปีงบประมาณของภาครัฐ ก็คงจะทำให้หน่วยงานต่างๆ รีบใช้เงินงบประมาณให้หมด และบริษัทยังคงเดินหน้าประมูลงานอย่างต่อเนื่อง โดยส่วนใหญ่ยังคงเป็นโครงการของภาครัฐ เนื่องจากช่วงนี้ภาคเอกชนยังไม่ค่อยกล้าลงทุนมากนัก
"ครึ่งปีหลังผมก็เชื่อว่ามีงานต่างๆเข้ามา ยิ่งใกล้สิ้นปีงบประมาณของภาครัฐก็คงจะเร่งใช้เงินใช้งบประมาณของปีนั้นๆให้หมด เพราะฉะนั้นโครงการคงต้องออกมาเรื่อยๆ ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราจะได้หรือไม่ได้ มากน้อยแค่ไหน ได้โครงการขนาดไหน เราจะรับรู้รายได้ทันไหมปีนี้ ก็คงจะต้องรอดูโครงการนั้นๆด้วย
แต่ตอนนี้ก็ถือเป็นปกติอยู่ก็คิดว่างานในปัจจุบันหรือที่ผ่านมาที่รออยู่พวกนี้ก็ยังมากพอที่จะทำให้เราสามารถถึงเป้าได้เรายังเชื่อตรงนั้นอยู่ และถ้าเทียบจากรายได้ของเราก็ยังมาจากภาครัฐกว่า 90% ส่วนลูกค้าภาคเอกชนก็ถือว่ามีจำนวนเยอะเหมือนกัน แต่ถ้าพูดเป็นจำนวนเงินก็คงไม่มากเท่า"นายศิริพงษ์ กล่าว
*เล็งโอกาสสูงร่วมรับงานวางระบบ 3G,อุปกรณ์ระบบเคเบิ้ลทีวีเติบโตได้อีกมาก
นายศิริพงษ์ กล่าวว่า หลังจากที่คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กทช.)ระบุว่าจะเปิดประมูลใบอนุญาตโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ 3G ในสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนก.ย. บริษัทมองว่าน่าจะช่วยทำให้บริษัทมีโอกาสในการรับงานเพิ่มขึ้น เนื่องจากโอเปอเรเตอร์ที่ได้รับใบอนุญาตก็ต้องสร้างเครือข่ายระบบ 3G ซึ่งทางบริษัทเองก็เป็นผู้เชี่ยวชาญในการวางระบบอยู่แล้วก็น่าจะมีส่วนได้รับงานนี้
"ถ้าบริษัทรายใหญ่ๆ ที่เป็นโอเปอเรเตอร์ได้ไลเซ่นส์ไป เขาก็ต้องมีการสร้างเครือข่ายของระบบ 3G เราก็ถือเป็นส่วนหนึ่งที่เป็นผู้ขายระบบเครือข่ายพวกนี้ ก็คงจะส่งผลดีกับเราก็คือว่าเรามีโอกาสขายของได้มากขึ้น เพราะเนื่องจากโครงข่ายพวกนี้ก็เป็นโครงข่ายใหม่ ซึ่งก็อาจจะต้องใช้อุปกรณ์ที่เราขายอยู่"นายศิริพงษ์ กล่าว
แต่ในขณะนี้จะยังไม่มีการนำรายได้ที่คาดว่าจะได้รับจากการวางโครงข่ายระบบ 3G เข้ามารวมกับเป้าหมายรายได้ปี 53 ที่วางไว้ที่ 4,000 ล้านบาท เนื่องจากยังมองว่าเป็นโครงการที่ยังไม่ค่อยแน่นอนคงจะหวังจากตรงนี้ไม่ได้ และยังไม่ทราบว่าจะได้ข้อสรุปที่แน่ชัดรวมถึงคำสั่งซื้ออุปกรณ์ต่างๆ เข้ามาเมื่อไหร่
ส่วนการขยายงานในกลุ่มธุรกิจเคเบิ้ลทีวีท้องถิ่น บริษัทมองว่ายังมีศักยภาพที่ดีอยู่และน่าจะยังสามารถสร้างรายได้ให้กับบริษัทได้อีกมาก เนื่องจากธุรกิจเคเบิ้ลทีวียังมีการขยายตัวค่อนข้างมาก โดยในขณะนี้บริษัทได้มีการขายระบบให้กับเคเบิ้ลไทยโฮลดิ้งไปบ้างแล้ว ซึ่งหากตลาดเคเบิ้ลทีวีท้องถิ่นมีการขยายกันมากขึ้นก็จะเป็นช่องทางเพิ่มรายได้ของบริษัทได้เพิ่มมากขึ้นด้วย
"ธุรกิจเคเบิ้ลทีวีก็ถือว่ามี potential ที่ดีอย่างในภาคตะวันออกเคเบิลทีวีเขารวมตัวกันร่วมมือกัน แล้วก็จ่ายอุปกรณ์กัน อยู่ในช่วงที่บริษัทเคเบิลทีวีท้องถิ่นทั้งหลายต้องการที่จะปลี่ยนจากระบบ Analog เป็น Digital ซึ่งอนาคตไม่นานทางทีวีทั้งหลายเขาต้องเปลี่ยนเป็น Digital เพราะฉนั้นเคเบิลทีวีเขาก็ต้องแข่งขันกับตรงนี้ เพราะฉะนั้นก็เป็นโอกาสที่ดีของเราอยู่ เพียงแต่ว่าตอนนี้มันเป็นเรื่องของการลงทุน เขาก็ไม่อยากลงทุนที่ละมากๆ แต่ก็ถือเป็นโอกาสที่ดีเป็นโอกาสที่เราตามตรงนี้อยู่"นายศิริพงษ์ กล่าว