ผู้ประกอบการมองผลกระทบจากทิศทางอัตราดอกเบี้ยเป็นขาขึ้นในช่วงครึ่งหลังปีนี้(H2/53)ต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพียงเล็กน้อย แม้บทวิเคราะห์ของศูนย์วิจัยกสิกรไทยจะมองว่าเศรษฐกิจเอเชียปรับตัวดีกว่าประเทศพัฒนาแล้ว ทำให้เงินไหลเข้าเอเชีย โดยเฉพาะไทย ซึ่งจากนี้ไปความเร็วของการขึ้นดอกเบี้ยจะสูงกว่าประเทศอื่น ๆ ในเอเชีย
เนื่องจากผู้ประกอบการมองว่าความเป็นจริงอัตราดอกเบี้ยในประเทศทยอยปรับขึ้นไปทีละไม่มาก ซึ่งทันการปรับตัวของผู้ซื้อ ประกอบกับภาพรวมเศรษฐกิจของไทยขยายตัวได้ดี ส่งผลทางบวกต่อกำลังเงินของผู้บริโภค ภาพรวมสินเชื่อที่อยู่อาศัยเติบโตได้ดีจากปีก่อน
*ทิศทางอัตราดอกเบี้ยเป็นขาขึ้นกระทบสินเชื่อที่อยู่อาศัยทั้งระบบเล็กน้อย
นายกิตติ พัฒนพงศ์พิบูล ประธานสมาคมสินเชื่อที่อยู่อาศัย กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"ว่า"ทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่เป็นขาขึ้นจะส่งผลกระทบต่อสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 1% ผู้บริโภคก็ยังคงจะจ่ายได้ เพราะที่เขาขึ้นดอกเบี้ยเพราะมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจสูง ซึ่งการขยายตัวเศรษฐกิจสูง สินเชื่อก็จะมีการขยายตัวดีด้วย"
"พวกที่ผ่อนอยู่แล้ว การจ่ายเงินค่างวดก็คงจะต้องจ่ายเหมือนเดิม เพราะเมืองไทยเราส่วนใหญ่จะเป็นระบบการจ่ายค่างวดแบบคงที่ แม้ดอกเบี้ยจะสูงขึ้น เราใช้วิธีขยายระยะเวลาแทน เพราะฉะนั้นดอกเบี้ยขึ้นก็ไม่ส่งผลกระทบเลยสำหรับผู้ที่กู้ไปแล้ว สำหรับผู้กู้ใหม่ก็ต้องจ่ายตามอัตราดอกเบี้ยที่ขึ้นไป กำลังซื้อคงจะไม่ชะลอตัว เพราะเศรษฐกิจไทยมีการขยายตัวสูงมาก และที่ทางการขึ้นดอกเบี้ยเพราะกลัวเศรษฐกิจจะขยายตัวมากเกินไป"
*คาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยปีนี้โตขึ้นจากปีก่อนแน่
"สินเชื่อที่อยู่อาศัยในปีนี้(2553)คงจะขยายตัวไม่ต่ำกว่า 10% ซึ่งก็เติบโตมาก เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว(2552)ที่มีการขยายตัวสินเชื่อที่อยู่อาศัยราว 7-10%"
*SPALI มองทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นกระทบธุรกิจน้อยเหตุล็อคต้นทุน-ยอดโอนสูง-ลูกค้าปรับตัว
นางวารุณี ลภิธนานุวัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานการเงินและบัญชี บมจ.ศุภาลัย(SPALI) กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"ว่า "โดยหลักอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นกระทบแน่นอน แต่บังเอิญเราล็อค Fund ส่วนใหญ่ไว้เรียบร้อยแล้ว และอีกส่วนในช่วงไตรมาส 3-4 ปีนี้เริ่มมีการโอน ทำให้สภาพคล่องเข้ามาเยอะเลย"
"ในส่วนของบริษัทฯ ในแง่ของการกู้เงิน โดยหลักของสภาพการกู้ยืมของเราลดน้อยลง เพราะว่าเราได้ออกหุ้นกู้ เราล็อค Fund ได้ อีกส่วนคือมีการโอนบ้านให้กับลูกค้าเยอะ ทำให้สภาพคล่องมีเยอะ อาจมีการกู้แบงก์บ้าง แต่ก็ไม่เยอะเท่าไร ดังนั้นการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นไปไม่เกิน 1% ก็ไม่ได้รับผลกระทบ"
"ในแง่ลูกค้า ถ้าดอกเบี้ยค่อย ๆ ขึ้นไปทีละ 0.25% กำลังซื้อลดลงแน่นอน เพียงแต่มองว่าลูกค้าก็จะเข้าใจและปรับตัวได้เอง แต่เราคิดว่าทิศทางดอกเบี้ยน่าจะค่อย ๆ ขึ้น จากนี้ไปอีก 5 เดือนก็น่าจะค่อย ๆ ขึ้น เวลาซื้อบ้านก็ต้องซื้อประมาณที่ตัวเองมีกำลัง เพียงแต่ว่าถ้าช่วงที่ดอกเบี้ยมันถูกลูกค้าก็จะไปซื้อบ้านที่หลังใหญ่ขึ้น แต่ถ้า Trend ขาขึ้น ลูกค้าที่มีความสามารถยังไม่พอก็จะเลือกซื้อบ้านหลังเล็กลงนิดหนึ่ง แต่ Demand ซื้อก็ยังมีอยู่ เพียงแต่อาจจะซื้อหลังเล็กลง
และยิ่งเขาก็กังวลว่าราคาวัสดุสร้างบ้านจะขึ้นด้วย ก็ยิ่งเป็นการเร่ง ความคิดส่วนตัวมองว่าในช่วงครึ่งปีหลังการขึ้นอัตราดอกเบี้ยไม่น่าจะถึง 1% อย่างมากก็ 0.5% ซึ่งก็น่าจะยอมรับได้"
*SPALI คงเป้ายอดโอนปีนี้แม้แบงก์ทยอยปรับขึ้นดอกเบี้ย
"ตอนนี้ยังเร็วไปที่จะมีการปรับเป้าหมายตอนครึ่งปี ซึ่งบริษัทฯก็ยังคงเป้าหมายยอดโอนของปีนี้ไว้เติบโตราว 25% จากปีที่แล้วที่มียอดโอน 9 พันล้านบาท ตั้งเป้าปีนี้ 1.1 หมื่นล้านบาทค่อนข้างที่เราจะทำได้แน่นอน แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยจะปรับตัวขึ้นไปก็ตาม เพราะมันมีพวกที่รอโอนอยู่ ส่วน Backlog ตอนนี้เรามีอยู่ 18,000 ล้านบาทเศษ ๆ ก็เห็นว่าเป็นอันดับที่ 2 ในกลุ่มอสังหาฯ สามารถรองรับไปได้อีก 3 ปี
ครึ่งหลังบริษัทฯก็จะเปิดโครงการใหม่อีก 13 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 13,000 ล้านบาท โดยเป็นแนวราบ 10 โครงการ พวกบ้านเดี่ยว, ทาวเฮ้าส์ และเป็นแนวสูง 3 โครงการ เป็นคอนโดมิเนียม ต้นปีที่ผ่านมาเราแทบจะไม่ได้เปิดโครงการใหม่ เราเปิดไปแค่ 2 โครงการเอง เพราะช่วงสั้นสถานการณ์การเมืองไม่ค่อยดี ตอนนี้เราก็เริ่มจะทยอยเปิดโครงการใหม่แล้ว"
*ESTAR รับผลกระทบขึ้นดอกเบี้ยบ้าง แต่ไม่มาก
นายรัตนชัย ผาตินาวิน กรรมการผู้จัดการ บมจ.อีสเทอร์น สตาร์ เรียลเอสเตท(ESTAR)เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า "ปกติแล้วการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก็มีผู้ได้ประโยชน์และผู้เสียประโยชน์ แน่นอนผู้ได้ประโยชน์ก็พวกฝากเงิน ในแง่ของเราก็ได้รับผลกระทบบ้าง แต่ไม่สำคัญมากมายก่ายกอง เพราะการปรับขึ้นดอกเบี้ยยังเป็นการขึ้นในอัตราที่ต่ำ เท่าที่ฟัง ๆ ดูก็ขึ้นทีละประมาณ 0.25% ไม่เกิน 0.5% และไม่ได้ปรับให้มันสูงจนเกินไป เพราะรัฐบาลยังมีนโยบายที่จะคงอัตราดอกเบี้ย เพราะต้องการให้เศรษฐกิจภาพรวมมีการฟื้นตัว"
"อย่างเช่นดอกเบี้ยเงินกู้บ้าน เดิมที่กู้อยู่ประมาณ 6% ไม่นับช่วงโปรโมชั่น บางทีก็ 3% บ้าง ดอกเบี้ยที่คิดกับผู้กู้ทั่วไปเป็น 6% บวก/ลบ ตลอดระยะเวลา 10 กว่าปี 20 ปี อะไรอย่างเนี่ย ถ้าขึ้นดอกเบี้ยไป 0.25 หรือ 0.5% สมมติซื้อคอนโดห้องเล็ก ๆ ผ่อนเดือนละ 9,500 บาท แต่ต้องมาผ่อนเดือนละ 9,650 บาท ขึ้นไปอีก 100 กว่าเป็นค่าดอกเบี้ยขึ้น ทีนี้เอาไปแชร์คิดตามระยะเวลาที่ผ่อน 10-20 ปีแล้วก็ถือว่าไม่เยอะ แต่ก็ยอมรับว่ารับผลกระทบนะ แต่ไม่ใช่สาระสำคัญ"
"ในส่วนของต้นทุนของบริษัทฯก็ไม่ได้สาระสำคัญ สมมติดอกเบี้ยขึ้นวันนี้ เราก็ต้องพยายามคงต้นทุนให้ได้อยู่ เราก็อาจจะไปตัดงบอื่นลง สมมติตัดงบด้านโฆษณาประชาสัมพันธ์ลง หรือตัดงบอะไรก็แล้วแต่ที่ไม่จำเป็นลง"
*คงเป้าหมายทุกด้านในปีนี้ รอดตัวจากการเมือง-ดอกเบี้ยขาขึ้น
กรรมการผู้จัดการ ESTAR กล่าวว่า "ทุกอย่างยังเหมือนเดิม ยอดรับรู้ปีนี้เราตั้งเป้าไว้ 800 กว่าล้าน เพราะ Backlog(งานในมือ)ของเดิมเรามีไม่เยอะ แต่ยอดขายปีนี้เราตั้งเป้าไว้ที่ 1,680 ล้านบาท ส่วนปัจจุบันบริษัทมียอด Backlog ประมาณ 1 พันกว่าล้านบาท"
"ทุกอย่างยังเหมือนเดิม แม้ว่าจะมีผลกระทบด้านการเมืองในช่วงที่ผ่านมา แต่โชคดีที่เราไม่ได้รับผลกระทบเท่าไร มันก็เป็นเรื่องแปลกที่ในช่วงที่มีปัญหาการเมือง มีการชุมนุมกลุ่มเสื้อแดง แต่ของเรากลับขายได้ทุกวัน ซึ่งยอดขายนี้ก็ต้องไปรับรู้ในปีหน้าหรือปีต่อไป ตอนนี้เราต้องสร้างโครงการให้ได้เยอะ จะได้มี Backlog เยอะ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ"
"ในช่วงครึ่งปีหลังเราก็จะมีการเปิดโครงการใหม่ 2 โครงการ มูลค่าโครงการละ 1 พันกว่าล้านต้น ๆ รวมแล้วก็ประมาณ 2 พันกว่าล้านบาท"