ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดลบ 1.22 จุด หลัง GDP ไตรมาส 2 สหรัฐขยายตัวต่ำกว่าคาด

ข่าวหุ้น-การเงิน Saturday July 31, 2010 07:20 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (30 ก.ค.) ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวน หลังจากสหรัฐเปิดเผยว่าเศรษฐกิจในไตรมาส 2 ขยายตัวเพียง 2.4% ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้แรงหนุนหลังจากมีรายงานว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐพุ่งขึ้นเกินคาดในเดือนก.ค.

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดลบ 1.22 จุด หรือ 0.01% แตะที่ 10,465.94 จุด ดัชนี S&P 500 ปิดบวก 0.07 จุด หรือ 0.01% แตะที่ 1,101.60 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดบวก 3.01 จุด หรือ 0.13% แตะที่ 2,254.70 จุด

ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 1.1 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นบวกมากกว่าหุ้นลบในอัตราส่วน 3 ต่อ 2

ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างผันผวน หลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 2 ปี 2553 ขยายตัวเพียง 2.4% ต่อปี ซึ่งชะลอตัวลงเมื่อทียบกับจีดีพีไตรมาสแรกที่ผ่านการทบครั้งใหม่ว่าขยายตัว 3.7% และน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะขยายตัวในอัตรา 2.5% ต่อปี

ข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐระบุว่า ตัวเลขการใช้จ่ายส่วนบุคคล ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 70 ของกิจกรรมเศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐ ขยายตัวเพียง 1.6% ในไตรมาส 2 ซึ่งชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับไตรมาสแรกที่ขยายตัวได้ถึง 1.9%

อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นนิวยอร์กปรับตัวลงในกรอบที่จำกัด เพราะตลาดได้แรงหนุนหลังจากรายงานของมหาวิทยาลัยมิชิแกน/รอยเตอร์ที่ระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.ค.พุ่งขึ้นแตะระดับ 67.8 จุด ซึ่งเพิ่มขึ้นจากการประเมินก่อนหน้านี้ที่ระดับ 66.5 จุด และมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะอยู่ที่ 67 จุด

ขณะที่ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ของภาคการผลิตในเขตมิดเวสต์ พุ่งขึ้นแตะระดับ 62.3 จุดในเดือนก.ค. จากเดือนมิ.ย.ที่ระดับ 59.1 จุด ซึ่งสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงสู่ระดับ 56.5 จุด

นักวิเคราะห์กล่าวว่า ปัจจัยที่ช่วยสกัดการร่วงลงอย่างหนักในระหว่างวันของดาวโจนส์มาจากการที่นักลงทุนยังคงมีมุมมองที่เป็นบวกต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเมื่อดูจากข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐที่ระบุว่า ตัวเลขการใช้จ่ายซื้อสินค้าที่มีอายุการใช้งานนานกว่า 3 ปี เพิ่มขึ้น 7.5% และตัวเลขการลงทุนเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยในภาคเอกชนเพิ่มขึ้น 27.9%

หุ้นเชฟรอน คอร์ป ซึ่งเป็นบริษัทพลังงานรายใหญ่อันดับ 2 ของสหรัฐ ปิดบวก 0.2% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรรายไตรมาสพุ่งขึ้นถึง 3 เท่า

หุ้นเมอร์ค ผู้ผลิตยาและเคมีภัณฑ์รายใหญ่ของเยอรมนี ปิดร่วงลง 1.7% หลังจากบริษัทเปิดเผยรายได้ในไตรมาส 2 เพิ่มขึ้น 15.6% แตะ 2.2 พันล้านยูโร ซึ่งตัวเลขดังกล่าวน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์ในวอลล์สตรีทคาดการณ์ไว้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ