นายสมฤกษ์ ตั้งพิรุฬห์ธรรม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไทยฮา(KASET)เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนรุกธุรกิจอย่างหนักมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังทั้งในแง่การการเพิ่มยอดขายสินค้าและการสร้างรายได้ หลังจากช่วงไตรมาส 2/53 รายได้ของบริษัทออกมาต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้เดือนละ 400-500 ล้านบาท และลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/53 เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการเมืองและมีวันหยุดค่อนข้างมาก
"ในครึ่งปีหลังเราจะบุกหนักและเต็มที่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพราะครึ่งแรกที่ผ่านมาเราเจอสถานการณ์หลายอย่างที่ทำให้เราไม่เป็นอย่างที่คาดหวัง ซึ่งเราเชื่อว่าการทำกิจกรรมทางการตลาดในทุกๆสินค้าจะกระตุ้นยอดขายในช่วงครึ่งปีหลังให้กลับมาคึกคัก และอีกอย่างตอนนี้การแข่งขันในตลาดค่อนข้างที่จะรุนแรงด้วย"นายสมฤกษ์ กล่าว
บริษัทมีแผนเพิ่มงบการตลาดมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง โดยวางงบไว้ประมาณ 30 ล้านบาท มากกว่าทั้งปีก่อนที่ใช้งบ 20 กว่าล้านบาท ทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัว น่าจะส่งผลดีต่อการขายสินค้า โดยเฉพาะอาหารกึ่งสำเร็จรูปที่คนในปัจจุบันต้องการความสะดวกสบาย ซึ่งในช่วงครึ่งปีหลังก็จะเห็นการทยอยการออกสินค้าใหม่เพิ่มขึ้นด้วย ก็จะส่งผลต่อรายได้บริษัทที่เพิ่มขึ้นในอนาคต
ขณะที่ตลาดในต่างประเทศก็จะเพิ่มความสำคัญ ด้วยการเน้นขายในกลุ่มอาเซียนมากขึ้นหลังจากที่มีการเปิดเสรีการค้าระหว่างกันมากขึ้น ซึ่งขณะนี้บริษัทเริ่มเจรจากับพาร์ทเนอร์ในหลายประเทศ เช่น เวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย ในการกระจายสินค้าทุกช่องทางและกว้างขวางขึ้น จากปัจจุบันที่จะกระจายสินค้าในบางพื้นที่เท่านั้น และที่ผ่านมาบางประเทศก็จำหน่ายสินค้าเพียงบางตัวเท่านั้นด้วย
นายสมฤกษ์ กล่าวต่อว่า การที่บริษัทรุกหนักในครึ่งปีหลังเพื่อไปสู่เป้าหมายรายได้ทั้งปี 53 ที่ตั้งไว้ 2.1 พันล้านบาท จากปีก่อนที่มีรายได้ 1.82 พันล้านบาท โดยรายได้หลักยังคงมาจากการจำหน่ายข้าว แต่จะเพิ่มการขายผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปมากขึ้นเพราะได้การตอบรับที่ดี บริษัทมีสัดส่วนรายได้มาจากในประเทศประมาณ 40% และต่างประเทศ 60%
ส่วนความคืบหน้าในการเจรจากับพันธมิตรให้เข้ามาซื้อหุ้นเพิ่มทุนที่จัดสรรไว้สำหรับเสนอขายให้กับนักลงทุนเฉพาะเจาะจง(PP)จำนวน 27 ล้านหุ้นนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับผู้สนใจหลายรายทั้งในประเทศและต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ในการเจรจาหากมีความคิดเห็นตรงกันก็อาจจะได้เร็ว เชื่อว่าจะได้ข้อสรุปก่อนเม.ย.54 ตามที่กำหนดไว้
นายสมฤกษ์ กล่าวว่า พันธมิตรดังกล่าวจะต้องทำธุรกิจเดียวกับเราเพื่อในการต่อยอดธุรกิจ และต้องมีเทคโนโลยีและช่องทางการค้าใหม่ ๆ ไม่ใช้เงินเพียงอย่างเดียว การหารือที่ผ่านมา บางรายที่เจรจากันก็ต้องการจำนวนหุ้นมากกว่าการจัดสรรก็มี แต่เราก็กังวลเรื่อง dilution จึงต้องใช้เวลาในการพิจารณาให้รอบคอบ