TSTH เล็งขยายสินค้าเกรดพิเศษ เพิ่มลูกค้าตปท.ทดแทนตลาดในปท.ชะลอตัว

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday August 3, 2010 11:30 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายลาภทวี เสนะวงษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ทาทา สตีล (ประเทศไทย) หรือ TSTH กล่าวว่า ในไตรมาสที่ 2/53-54 (ก.ค.-ก.ย.53) บริษัทฯ มุ่งเน้นในการเพิ่มปริมาณขายในส่วนของ Low Carbon Wire Rods (เหล็กลวดคาร์บอนต่ำ) และขยายฐานลูกค้าในส่วนของ Special Wire Rods (เหล็กลวดเกรดพิเศษ) ให้มากขึ้น

เนื่องจากแม้ว่าสภาวะโดยรวมของตลาดเหล็กทรงยาวของประเทศไทยจะกระเตื้องขึ้นจากไตรมาส 1/53-54 เนื่องจากการเมืองของประเทศไทยเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ แต่ไตรมาส 2/53-54 เป็นช่วงฤดูฝน ซึ่งโครงการก่อสร้างต่างๆ จะมีการชะลอตัว ประกอบกับโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐยังไม่เกิดขึ้น

นอกจากนั้น ยังส่งเสริมการส่งออกสินค้าไปจำหน่ายยังต่างประเทศในเขตอาเซียน และประเทศอื่นๆ เช่น เกาหลีใต้ จีน และออสเตรเลีย ให้เพิ่มมากขึ้นเพื่อชดเชยกับความต้องการสินค้าในประเทศที่อยู่ในระดับต่ำ รวมถึงการบริหารต้นทุนการผลิตและต้นทุนด้านอื่นๆ อย่างมีประสิทธิภาพ

โรงงาน Mini Blast Furnace (MBF) ที่ จ.ชลบุรี ซึ่งได้เปิดดำเนินการตั้งแต่เดือน ต.ค.52 ปัจจุบันอยู่ในระหว่างการพัฒนาการผลิตเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด สำหรับในส่วนของราคาวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตได้ขยับตัวสูงขึ้นเป็นอันมาก เป็นผลให้บริษัทได้รับประโยชน์ในด้านต้นทุนการผลิตไม่มากนัก

อย่างไรก็ตาม ผลประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมสำหรับโรงงาน MBF คือการเพิ่มความสามารถในการผลิตเหล็กเกรดพิเศษคุณภาพสูงเพื่อทดแทนการนำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งจะส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานของบริษัทในอนาคต และลดความเสี่ยงที่เกิดจากความแปรปรวนของความต้องการสินค้าในกลุ่มเหล็กเส้น

ดังนั้น ปัจจุบันบริษัทฯ จึงมุ่งผลักดันอย่างเต็มทื่เพื่อพัฒนาคุณภาพของสินค้าเหล็กเกรดพิเศษคุณภาพสูงที่ได้ผลิตอยู่ในปัจจุบันให้มีคุณภาพที่สูงขึ้น และมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำลง อีกทั้งการเร่งพัฒนาสินค้าใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด

นายลาภทวี กล่าวถึงผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/53-54 (เม.ย.—มิ.ย.53)ว่า บริษัทฯ สามารถทำกำไรสุทธิได้ 28 ล้านบาท พลิกจากที่ขาดทุน 123 ล้านบาท ในไตรมาส 4/52-53 โดยเหตุผลสำคัญเนื่องจากราคาขายที่เพิ่มสูงขึ้นตันละ 1,800 บาท ซึ่งเกิดจากความมีประสิทธิภาพของการดูแลส่วนต่างระหว่างราคาเศษเหล็กกับราคาขาย การปรับสัดส่วนการขายสินค้าเหล็กลวดให้สูงขึ้น และการเพิ่มยอดขายในต่างประเทศเพี่อรักษาระดับราคาขายในประเทศ

สำหรับยอดขายสุทธิในไตรมาส 1/53-54 เท่ากับ 6,194 ล้านบาท จากปริมาณขาย 297,000 ตัน ลดลงจากไตรมาส 4/52-53 ร้อยละ 5 และ 13 ตามลำดับ เนื่องจากความต้องการในตลาดใหม่มีน้อย อันเป็นผลจากเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองของไทย

แต่หากเปรียบเทียบกับไตรมาสที่ 1/52-53 ซึ่งขาดทุนสุทธิ 168 ล้านบาท ถือว่ากำไรสุทธิ ในไตรมาสแรกของปีนี้เพิ่มขึ้นถึง 196 ล้านบาท เนื่องมาจากการเพิ่มขึ้นของยอดขายสุทธิ และปริมาณขาย ในอัตรา 37% และ 12% ตามลำดับ อีกทั้งราคาขายที่เพิ่มสูงขึ้นมากกว่าต้นทุนขายที่เพิ่มขึ้น


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ