นางชวนพิศ ฉายเหมือนวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ซันไชน์ คอร์เปอเรชั่น(SSE) กล่าวภายหลังเข้ารับตำแหน่งผู้บริหารใหม่ของ SSE โดยคาดว่าผลประกอบการของบริษัทในปีนี้จะพลิกเป็นกำไรสุทธิ หลังการเข้าซื้อกิจการ บมจ.โรงพิมพ์ตะวันออก(EPCO)ซึ่งว่าจะรับรู้เงินปันผลที่ปกติมีอัตราผลตอบแทนสูงถึง 12% และในปี 54 จะมีการล้างขาดทุนสะสมที่มีกว่า 100 ล้านบาทให้หมดทั้งจำนวน เพื่อให้สามารถจ่ายเงินปันผลได้ตามนโยบายของบริษัทที่กำหนดไว้ไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิ
บริษัท จะรับรู้รายได้จาก EPCO เป็นสัดส่วน 80% ของรายได้รวม ขณะที่รายได้จากพอร์ตการลงทุนมีสัดส่วนประมาณ 20% หลังจากยกเลิกธุรกิจการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อที่เป็นธุรกิจเดิม ซึ่งขณะนี้พอร์ตสินเชื่อที่อยู่ระหว่างเรียกเก็บอยู่ที่ 40 ล้านบาท คาดว่าภายในสิ้นปีนี้จะสามารถจัดการเรียกคืนได้ทั้งหมด
ทั้งนี้ ในปี 54 บริษัทยังมีแผนจะจัดตั้งบริษัทย่อยขึ้นมาอีก 1 แห่ง ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาว่าจะลงทุนในธุรกิจใหม่ที่กลุ่มผู้ถือหุ้นสนใจ โดยเฉพาะพลังงาน หรือจะเป็นบริษัทที่ทำธุรกิจต่อยอดจากธุรกิจเดิม ซึ่งในระยะสั้นยังไม่มีแผนเพิ่มทุน แต่ก็ไม่ได้ปิดโอกาสในการศึกษา หากในอนาคตมีการทำธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพและต้องใช้เงินสูงก็อาจจจะทำการเพิ่มทุน อย่างไรก็ตาม คงไม่ใช่การเข้าไปซื้อกิจการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เหมือนกรณีของ EPCO
สำหรับพอร์ตลงทุนของบริษัท จะยังคงขนาดในระดับ 80 ล้านบาทไว้ โดยจะยังคงลงทุนต่อไป ซึ่งจะเน้นหุ้นพื้นฐาน อาทิ แบงก์ พลังงาน และพยายามล้างภาพการเป็นบริษัทที่พึ่งพารายได้จากการลงทุนในหุ้น และถูกมองว่าส่วนใหญ่เป็นหุ้นปั่น นางชวนพิศ กล่าวว่า ต่อจากนี้ไป SSE จะต้องเป็นบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานดี ผลประกอบการมีอัตราการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และสามารถสร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจให้กับผู้ถือหุ้นได้ ด้วยการทำงานอย่างเป็นมืออาชีพ มีความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้
"พอร์ตลงทุนของบริษัทตอนนี้ยืนยันว่าไม่มีหุ้น MIDA เหลือเพียง GEN ตัวเดียวที่ยังขาดทุนอยู่ แต่พอร์ตโดยรวมเป็นหุ้นพื้นฐานดี และยืนยันว่าผลตอบแทนเฉลี่ย 0-20% หากผลตอบแทนน้อยกว่า 20% บริษัทก็จะไม่ลงทุน และยืนยันว่าจะลงทุนไม่เกิน 25%ของเงินสดที่ถืออยู่"นางชวนพิศ กล่าว
นางชวนพิศ ซึ่งเป็นอดีตผู้ว่าการ การเคหะแห่งชาติ(กคช.)กล่าวว่า การที่รับเข้ามาบริหารงานใน SSE เนื่องจากมีความสัมพันธ์ที่ดีกับกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ ทั้งนี้ จากที่ได้เข้ามาดูงานในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ยอมรับว่าลักษณะงานมีความแตกต่างจากกคช.ที่จะต้องทำประโยชน์เพื่อสาธารณะและไม่เน้นการสร้างผลกำไร แต่การทำงานกับ SSE จะต้องเน้นการเติบโตของธุรกิจและผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้น
ส่วนกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ คือกลุ่มของนายฉาย บุนนาค ยืนยันว่าจะลงทุนใน SSE ระยะยาว รวมถึงการที่ SSE เข้าซื้อธุรกิจ EPCO ก็จะเป็นการลงทุนในระยะยาวเช่นกัน และจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับโครงสร้างการบริหารใน EPCO เนื่องจาก EPCO มีความสามารถในการสร้างรายได้และกำไรที่ดี รวมถึงสามารถต่อยอดธุรกิจใน บมจ.อควา คอร์ปอเรชั่น บริษัทย่อยของ SSE ซึ่งเป็นผู้ผลิตสื่อโฆษณา โดยอควาฯ มีแผนจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ช่วงต้นปี 54
"นโยบายการดำเนินงานของ SSE จากนี้ไปจะต้องเป็นบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานดี ผลประกอบการมีอัตราการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และสามารถสร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจให้กับผู้ถือหุ้นได้ ด้วยการทำงานอย่างเป็นมืออาชีพ มีความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ และก้าวแรกของการเริ่มต้นก็คือการตัดสินใจเข้าไปลงทุนใน EPCO ภายหลังจากที่ได้ศึกษาในรายละเอียดอย่างรอบด้านแล้วพบว่าเป็นบริษัทที่น่าลงทุนจริงๆ และก่อให้เกิดประโยชน์กับบริษัทและผู้ถือหุ้นอย่างแน่นอน โดย EPCO จะเป็นฐานกำลังสำคัญให้กับ SSE ได้ในอนาคต”นางชวนพิศ กล่าว
ทั้งนี้ SSE มีแผนจะเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น บมจ.พีพี คอร์ปอเรชั่น ซึ่งจะเสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทพิจารณาอนุมัติในวันที่ 9 ส.ค.นี้