นายสมฤกษ์ ตั้งพิรุฬห์ธรรม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไทยฮา(KASET)เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปีนี้ที่ 2,100 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่บริษัทมีรายได้ 1,830 ล้านบาท โดยเบ่งเป็นยอดขายในประเทศ 1,000 ล้านบาท และส่งออก 1,100 ล้านบาท ขณะที่สัดส่วนรายได้จะมาจากผลิตภัณฑ์ข้าว 60-70% ที่เหลือ 30-40% มาจากผลิตภัณฑ์อาหารกึ่งสำเร็จรูป
บริษัทมีแผนเพิ่มจำนวนสินค้าและผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มให้มากขึ้น โดยเฉพาะประเภทอาหารกึ่งสำเร็จรูป เนื่องจากมองว่าเป็นการเพิ่มมาร์จิ้นในอนาคต โดยเฉพาะอาหารกึ่งสำเร็จรูปมีอัตรากำไร(มาร์จิ้น)สูงถึง 20-30% สูงกว่าการจำหน่ายข้าวที่มีมาร์จิ้นในระดับ 12-13%
อย่างไรก็ตาม การขยายการผลิตสินค้ามูลค่าเพิ่มคงจะเห็นในปี 54 โดยบริษัทมีแผนจะออกผลิตภัณฑ์อาหารเสริมสกัดจากข้าว ซึ่งอยู่ระหว่างการออกแบบผลิตภัณฑ์ โดยสินค้าดังกล่าวจะเจาะกลุ่มลูกค้าที่ใส่ใจสุขภาพ ขณะที่ในส่วนธุรกิจที่ไม่ใช่ข้าว(NON RICE)จะมีการออกโจ๊กรสแซบแบบซองวางตลาดในไตรมาส 4/53
สำหรับผลการดำเนินงานในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา ถือว่าเติบโตได้ดี แม้ธุรกิจค้าข้าวจะมีการแข่งขันสูง แต่การจำหน่ายข้าวของบริษัทก็ยังสามารถเติบโตได้ 5-10% ส่วนผลิตภัณฑ์อาหารกึ่งสำเร็จรูปเติบโต 40-50% และแนวโน้มครึ่งปีหลังก็น่าจะเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปที่จะเติบโตมาก สะท้อนให้เห็นว่าสินค้าตรงกับความต้องการของผู้บริโภค โดยเฉพาะในไตรมาส 4/53 จะเติบโตมากจากการออกสินค้าใหม่
นายสมฤกษ์ กล่าวว่า ภาพรวมการส่งออกข้าวของประเทศไทย คาดว่าจะลดลงเพราะปัจจุบันข้าวขาวถือว่ามีการแข่งขันมาก โดยเฉพาะคู่แข่งสำคัญอย่างเวียดนามแย่งมาร์เก็ตแชร์ข้าวไทยไปมาก ขณะที่พม่าก็มีการผลิตข้าวขาวในราคาถูกกว่าไทยออกมาสู่ตลาดมากขึ้น แต่บริษัทยังไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เพราะเน้นการขายข้าวหอมมะลิ ซึ่งเป็นคนละตลาด ทำให้มูลค่าการส่งออกของบริษัทไม่ได้ลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน
ส่วนแผนการขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับนักลงทุนเฉพาะเจาะจง(PP)จำนวน 27 ล้านหุ้นนั้น ขณะนี้มีการเจรจากับผู้สนใจ 1-2 รายทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่ต่างประเทศ 1 รายจะเข้ามาซื้อหุ้น โดยเป็นผู้ที่อยู่ในธุรกิจด้านอาหารที่มีแบรนด์เป็นที่รู้จักทั่วโลก
นายสมฤกษ์ กล่าวอีกว่า บริษัทไม่ได้รีบร้อนขายหุ้น เพราะไม่ได้มีปัญหาเรื่องเงินทุน เพียงต้องการพันธมิตรเข้ามาเอื้อธุรกิจทั้งในแง่ของการขาย และการผลิต ดังนั้นจึงต้องใช้เวลาในการพิจารณาอย่างเหมาะสม อีกทั้งยังมีเวลาในการขายหุ้นถึงเดือน เม.ย 54 ตามที่ผู้ถือหุ้นได้อนุมัติกรอบเวลาไว้