นายตัน เล เยน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไอเอฟเอส แคปปิตอล (ประเทศไทย) หรือ IFS เปิดเผยว่า ผลการเปิดจองซื้อหุ้นหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ของ IFS จำนวน 120 ล้านหุ้น ปรากฎว่ามีความต้องการล้นถึง 6 เท่า หลังจากบริษัทเปิดให้จองซื้อระหว่างวันที่ 30 ก.ค.และ 2-3 ส.ค. กำหนดราคาเสนอขายที่ 1.35 บาท/หุ้น
"สาเหตุที่หุ้น IPO ของ IFS ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างมาก มาจากหลายๆ ส่วนด้วยกันไม่ว่าจะเป็นในด้านของปัจจัยพื้นฐานซึ่งมีความแข็งแกร่ง โดยผลประกอบการในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมามีกำไรสุทธิมาอย่างต่อเนื่องและเติบโตขึ้นทุกปี" นายตัน กล่าว
ภายหลังจากที่บริษัทระดมทุนและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แล้ว เชื่อว่าจะยิ่งทำให้ชื่อเสียงของ IFS เป็นที่รู้จักในวงกว้าง รวมถึงเป็นที่ยอมรับมากยิ่งขึ้นด้วย ที่สำคัญยังส่งผลให้ฐานทุนของบริษัทมีความแข็งแกร่ง โดยทำให้อัตราส่วนของหนี้สินต่อทุนลดลง ทำให้บริษัทมีช่องทางหรือทางเลือกในการระดมเงินทุนมากขึ้น เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยที่ส่งผลบวกต่อการขยายธุรกิจของ IFS ในอนาคตทั้งสิ้น
แนวโน้มของธุรกิจแฟคเตอริ่ของบริษัท การขยายธุรกิจในประเทศไทยยังมีโอกาสที่จะเติบโตได้อีกมาก เนื่องจากผู้ประกอบการภายในประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่ม SMEs มีความต้องการที่จะใช้เงินทุนเพื่อขยายกิจการอีกเป็นจำนวนมาก ผนวกกับข้อมูลล่าสุดของภาครัฐที่ออกมาเปิดเผยประมาณการเกี่ยวกับการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศหรือ GDP ที่คาดว่าในปี 53-54 ยังมีอัตราการขยายตัวที่ดี ดังนั้นจึงถือเป็นโอกาสที่ดีของ IFS ในการดำเนินธุรกิจต่อจากนี้ไป
นายกำพล ทรวงบูรณกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวาณิชธนกิจ บล.เคที ซีมิโก้ จำกัดในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน ผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย และ Book runner ของ IFS ระบุว่านอกจากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งแล้ว อีกส่วนสำคัญที่สามารถดึงดูดนักลงทุนให้สนใจหุ้น IFS และมีกระแสการตอบรับที่ดีเยี่ยม มาจากการกำหนดราคาเสนอขายหุ้นที่ถือว่าเป็นระดับราคาที่เหมาะสมโดยพิจารณาจากค่าพีอี เรโช 7-8 เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับบริษัทในหมวดเงินทุนและหลักทรัพย์อยู่ที่ระดับประมาณ 12 เท่า
อีกทั้งปัจจุบันสภาวะการซื้อขายของตลาดหุ้นไทยคึกคักเป็นอย่างมาก ดังนั้นทำให้มั่นใจว่าหุ้นเพิ่มทุนของ IFS จะสร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจให้กับผู้ถือหุ้นเมื่อเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์