โบรกฯเชียร์"ซื้อ" TUF ปรับกำไรสุทธิปี 54 โตก้าวกระโดดหลังเข้าเทคฯ MWB

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday August 4, 2010 10:13 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โบรกเกอร์ ประสานเสียงแนะ"ซื้อ"หุ้น บมจ.ไทยยูเนี่ยน โฟรเซน(TUF)คาดการณ์กำไรสุทธิในปี 54 เติบโตอย่างก้าวกระโดดเป็น 4.3-4.4 พันล้านบาท จากปี 53 ยังคงคาดกำไรสุทธิ 3.6-3.9 พันล้านบาท หลังบริษัทเข้าซื้อกิจการ MW Brands Holdings SAS(MWB)ซึ่งเป็นผู้นำตลาดอาหารทะเลในยุโรป ส่งผลดีต่อความสามารถในการขยายเข้าตลาดยุโรป และมีต้นทุนการผลิตต่ำ นับเป็นกลยุทธ์ที่ดี

แต่ยังกังวลภาระหนี้สินที่บริษัทกู้มาใช้ในดีลนี้ ส่งผลให้อัตราหนี้สินต่อทุน(D/E)สูงขึ้นเป็นเกือบ 2 เท่าจากปัจจุบันไม่ถึง 1 เท่า และต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 3-4 ปีในการชำระหนี้ อาจส่งผลกระทบต่อผู้ถือหุ้นทำให้ไม่ได้รับประโยชน์ในระยะสั้น

          โบรกเกอร์          คำแนะนำ          ราคาเป้าหมาย(บาท)
          บล.ดีบีเอส            ซื้อ                64.00
          บล.ทรีนิตี้             ซื้อ                63.00
          บล.ธนชาต            ซื้อ                62.00
          บล.ทิสโก้             ซื้อ                61.00
          บล.ฟาร์อีสท์           ซื้อ                56.00
          บล.เคจีไอ            ซื้อ                55.00
          บล.กิมเอ็ง            ซื้อ                52.00

นายสิทธิเดช ประเสริฐรุ่งเรือง ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.กรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า การเข้าซื้อกิจการทั้งหมดของบริษัท MW Brands Holdings SAS(MWB)ของ TUF เป็นมุมมองบวก โดยระหว่างนี้อยู่ระหว่างปรับประมาณการ คาดว่าจะปรับราคาเป้าหมายขึ้นอีกประมาณ 10 บาท จากเดิมอยู่ที่ 50.50 บาท ทั้งนี้ ในปี 54 ปรับประมาณการกำไรสุทธิขึ้นเป็น 4.4 พันล้านบาท ส่วนปี 53 คงประมาณกำไรสุทธิไว้ที่ 3.9 พันล้านบาท

แต่เห็นว่า Upside ระยะสั้นไม่มี เพราะราคาหุ้นสะท้อนการเข้าซื้อกิจการไปแล้ว upside ช่วงต่อไปจะเป็นการเติบโตในช่วง 3-4 ปีข้างหน้า เพราะเท่าที่ดูราคาหุ้นปัจจุบันราคาค่อนข้างแพงมี P/E 18 เท่า

กลยุทธ์การเข้าซื้อกิจการ MWB มองว่าเป็นผลดีและจำเป็นต้องทำ เพราะบริษัทเข้ายุโรปจะเสียต้นทุนสูงมากหากเข้าไปด้วยตัวเอง เพราะฉะนั้นบริษัทได้เต็มๆ ข้อดี คือ บริษัทได้ แต่ข้อไม่ดี คือผู้ถือหุ้นยังไม่ได้ระยะสั้น เนื่องจากเงื่อนไขชำระหนี้จะจ่ายเงินปันผลได้ไม่เกิน 1.00-1.20 บาท/หุ้น

"ไม่ใช่ไม่ดี คือกลยุทธ์ดีต่อบริษัทและจำเป็นต่อบริษัท ถ้าต้องการมีตลาดในยุโรป คือถ้าคนมีต้นทุนต่ำๆประมาณ 30 บาท อาจจะรอได้ ผมว่าดีลนี้ยังไม่สรุป เขาก็ยังไม่เปิดเผยข้อมูลเต็มที่"นายสิทธิเดช กล่าว

ทั้งนี้ คาดว่าจะสรุปดีลได้ภายใน ธ.ค.นี้ และในปีหน้าจะรวมงบของ MWB ได้ แต่ที่สำคัญคือการกู้เงินที่บริษัทมีภาระต้องจ่ายปีละ 4 พันล้านบาท ขณะที่ MWB มี EBIT อยู่ 3.5 พันล้านบาท คงไม่ถึงขาดทุน แต่อาจจะไม่เติบโตหรือมีกำไรเพิ่ม แต่ยังไม่รู้เพิ่มเท่าไร

"ถ้าระยะยาวคงแนะนำทยอยสะสม แต่ระยะสั้นให้เก็งกำไรเมื่อราคาอ่อนตัว อย่างไรก็ตามก็ต้องดูกันอีกครั้ง เพราะดีลที่ทำมายังไม่มีข้อมูล ถ้าดีลจบแล้วเขาจะเปิดเผยข้อมูล ตอนนี้ได้แต่คาดเดา"นายสิทธิเดช กล่าว

ส่วนน.ส.สุทธาทิพย์ พีรทรัพย์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย)มีมุมมองเป็นเชิงบวกสำหรับ TUF จากการที่เข้าซื้อกิจการ MWB ซึ่งเป็นผู้นำตลาดในยุโรป ทำให้ TUF สามารถเข้าตลาดยุโรปได้มากขึ้น จากเดิมที่ยังทำได้ไม่ดีนัก รวมทั้ง การที่ MWB มีแบรนด์เป็นของตัวเอง 4 แบรนด์ จะทำให้มาร์จิ้นสูงกว่าสินต้าไม่มีแบรนด์หรือรับจ้างผลิต ทำให้มาร์จิ้นดีขึ้นและการแกว่งตัวกำไรน้อยลง จากปกติสินต้าโภภัณฑ์ราคาวัตถุดิบจะขึ้นลงตามราคาตลาด

นอกจากนี้ MWB ยังมีฐานการผลิตใกล้กับแหล่งผลิตที่ซีเชล กาน่า รวมถึงแหล่งจับปลาทูน่าเองด้วย ทำให้ต้นทุนวัตถุดิบน่าลดลง และการนำเข้าทูน่าเข้ายุโรปก็ไม่เสียภาษี ขณะที่ไทยเสียภาษี 24% ทำให้ความสามารถในการแข่งขันดีกว่า

อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่า ประเมินผลประกอบการค่อนข้างลำบาก เนื่องจากว่ามีข้อมูลจำกัด โดยดีลนี้ยังไม่เรียบร้อย เพราะต้องรอที่ประชุมผู้ถือหุ้นอนุมัติ จึงยังไม่เปิดเผยข้อมูลทั้งหมด ดังนั้น จึงประเมินได้คร่าวๆ เท่านั้น แต่ก็เห็นว่าบวกค่อนข้างมาก

ขณะเดียวกันบริษัทเข้าไปกู้เงินมามากในการเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ ทำให้ดอกเบี้ยจ่ายก็เพิ่มสูงขึ้นมาด้วย ซึ่งจะทำให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนสูงขึ้นเกือบ 2 เท่าจากปัจจุบันไม่ถึง 1 เท่า แต่ก็เชื่อมั่นการบริหารของบริษัททำอย่างระมัดระวัง และเห็นว่าจังหวะนี้เป็นจังหวะที่ดีที่เข้าลงทุนในยุโรป โดยค่าเงินยูโรช่วงนี้อ่อนตัว ทำให้ราคาถูกลง

"ปีนี้คงจะยังไม่ชัด อาจจจะรวม(งบการเงิน MWB)ได้แค่ 1-2 เดือน แต่ปีหน้าน่าจะค่อนข้างชัดขึ้น ในแง่กำไรเพิ่มขึ้นแน่ๆ แต่แค่ไหนก็ต้องขอดูรายละเอียดเพิ่มเติม แต่ก็น่าจะเป็นทิศทางที่เป็นบวก"น.ส.สุทธาทิพย์ กล่ว

ประเมินเบื้องต้นว่าปี 54 ปรับประมาณการขึ้นกำไรสุทธิประมาณ 4.3 พันล้นบาทจากเดิมประมาณการไว้ที่ 3.8 พันล้านบาท โดยปกติ MWB ทำกำไรได้ปีละ 1.4-1.5 พันล้านบาท ซึ่งถ้ามีข้อมูลแน่ชัดแล้วจะมีการปรับประมาณการปี 54 ใหม่และมีแนวโน้มปรับราคาเป้าหมายด้วย ส่วนปี 53 กำไรสุทธิยังคงประมาณการอยู่ที่ 3.6 พันล้านบาท

บทวิเคราะห์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย) ระบุว่า การที่ TUF ซื้อกิจการ MWB ซึ่งเป็นผู้นำตลาดอาหารทะเลที่ยุโรป ทำให้ TUF ก้าวเข้าสู่การเป็นผู้เล่นรายสำคัญในตลาดโลก ด้วยการมีตลาดที่หลากหลายช่วยกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจได้เป็นอย่างดี และจะได้รับตราของผลิตภัณฑ์ที่มีอัตรากำไรสูงขึ้น รวมทั้งวัตถุดิบที่มีต้นทุนถูกลงอีกด้วย

ส่วนเงินทุนที่ใช้ในการเข้าซื้อกิจการส่วนใหญ่ใช้เงินกู้ คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนจะได้เพิ่มสูงขึ้นเป็น 1.7 เท่า ณ ปลายปี 54 แต่จะค่อยๆปรับตัวลงได้ในอนาคต

ด้านคาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้นในปี 54 จะยังสามารถเติบโตได้ 2% แม้ว่าจะมี dilution effect 11.7% จากการเพิ่มทุนเข้ามาลงทุนด้วยส่วนหนึ่ง แต่ถือว่าเป็นส่วนน้อย และเห็นว่าในอนาคตภาระดอกเบี้ยจ่ายจะปรับลงได้ ด้วยการคืนเงินกู้ และประสิทธิภาพในการดำเนินงานดีขึ้น หลังจากการซื้อกิจการ MWB เข้ามา

ฉะนั้น คงคำแนะนำ ซื้อ ได้มีการประเมินราคาพื้นฐานที่ 64.00 บาท ด้วยการใช้ผลการดำเนินงานปี 54 แทนปี 53 และมีสมมุติฐานคือ 1) ปรับประมาณการณ์ปี 54 ขึ้น 7% 2) P/E ปี 54 ที่ใช้ในการประเมินคือ 14.0 เท่า เทียบกับเดิมที่ 12.0 เท่า เพราเห็นว่า TUF จะได้รับประโยชน์มากจากการเข้าซื้อ MWB ในเรื่องการยกฐานะเป็นผู้นำระดับโลกทางด้านธุรกิจอาหารทะเลได้อย่างรวดเร็ว และมีสัดส่วนรายได้จากผลิตภัณฑ์ที่มีตราของตนเองสูงขึ้น ซึ่งทำให้อัตรากำไรสูงขึ้นด้วย

"ราคาหุ้นขณะนี้ซื้อขายที่ P/E ปี 54 ที่ระดับ 11.0 เท่า ราคาปิดมีส่วนเพิ่มเทียบกับราคาพื้นฐานใหม่ได้ถึง 31% ถือว่าน่าสนใจทีเดียว"บทวิเคราะห์ ระบุ

แท็ก ยุโรป   (TUF)   SAS  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ