นายสุรงค์ บูลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไทยออยล์(TOP)คาดกำไรในไตรมาส 3/53 จะออกมาดีกว่าไตรมาส 2/53 และน่าจะทำให้ผลประกอบการช่วงครึ่งหลังของปีนี้จะสูงกว่าครึ่งปีแรก แต่ทั้งปี 53 กำไรก็คงจะต่ำกว่าปีก่อนตามที่เคยคาดไว้ โดยประเมินว่าค่าการกลั่นรวม(GIM)ในปีนี้จะสูงกว่าระดับ 5 เหรียญ/บาร์เรล แต่คงไม่เท่ากับปีก่อนที่อยู่ในระดับ 9 เหรียญ/บาร์เรล
บริษัทสนใจจะเสนอโครงการลงทุนโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก(SPP) 2 แห่ง ขนาดแห่งละ 110-120 เมกะวัตต์ สถานที่ตั้งในบริเวณใกล้เคียงกับโรงกลั่นน้ำมันของบริษัทใน จ.ชลบุรี ส่วนโรงไฟฟ้า IPP ที่เกิดปัญหาขัดข้องและหยุดเดินเครื่องไปนั้น คาดว่าจะแก้ไขได้แล้วเสร็จภายในไตรมาส 3/53 เพื่อกลับมาเดินเครื่องตามปกติได้ราวไตรมาส 4/53 ซึ่งล่าช้ากว่าที่คาดไว้เล็กน้อย
และ ขณะนี้บริษัทมีแผนการศึกษาร่วมกับปตทท. ในการทำธุรกิจโรงไฟฟ้า ซึ่งปัจจุบันมีกำลังการผลิต 818 เมกะวัตต์ จากโรงไฟฟ้า ทั้งนี้สนใจลงทุนธุรกิจโรงไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งไทยออยล์ก็มีความถนัดด้านโรงไฟฟ้า
นายสุรงค์ กล่าวว่า บริษัทมีแผนขยายกำลังการกลั่นและปรับปรุงคุณภาพน้ำมัน โดยจะเพิ่มจาก 2.7 แสนบาร์เรล/วัน เป็น 3 แสนบาร์เรล/วัน โดยจะใช้เงินลงทุน 200-300 ล้านเหรียญสหรัฐ คาดว่าจะเสนอให้คณะกรรมการบริษัทอนุมัติในช่วงปลายปีนี้ และคาดว่าจะเริ่มดำเนินการในปี 54 และผลิตเชิงพาณิชย์ในปี 55 เป็นการรองรับวัฎจักรขาขึ้นของโรงกลั่นในอีก 2-3 ปีข้างหน้า
และบริษัทอยู่ระหว่างการยยายกำลังการผลิตพาราไซลีน เพิ่มอีก 1 แสนตัน จากปัจจุบันผลิตที่ 4 แสนตัน โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุน 45 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยโครงการดังกล่าวคาดว่าจะแล้วเสร็จปลายปีหน้า ซึ่งจะส่งผลดีต่อมาร์จิ้นของผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์โดยรวม
*กำไรปีนี้ต่ำกว่าปีก่อน ตั้งเป้ารักษาอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล
นายสุรงค์ คาดว่ากำไรสุทธิในไตรมาส 3/53 จะปรับตัวขึ้นจากไตรมาส 2/53 เนื่องจากแป็นฤดูกาล ประกอบกับความต้องการใช้น้ำมันเครื่องบินปรับขึ้นด้วย คาดว่าค่าการกลั่นเฉลี่ยในปีนี้น่าจะอยู่ที่ 5.5 เหรียญ/บาร์เรล (ไม่รวมสต็อกน้ำมัน)จากปีก่อนที่มีค่าเฉลี่ย 9 เหรียญ/บาร์เรล (รวมสต็อกน้ำมัน)
"ยอมรับว่ากำไรสุทธิปีนี้ต่ำกว่าปีก่อน เพราะทั้งอะโรเมติกส์และโรงกลั่นถือว่าอยู่ในช่วงขาลงเมื่อเทียบกับปีก่อน โดยเฉพาะราคาอะโรเมติกส์ทั้งราคาพาราไซลีนและเบนซีนปรับตัวลดลงต่อเนื่อง แต่เราหวังว่าไตรมาส 3 จะกลับมาดีขึ้น เพราะน่าจะมีความต้องการจากจีนเพิ่มเข้ามา"นายสุรงค์ กล่าว
นายวิรัตน์ เอื้อนฤมิต รองกรรมการผู้จัดการใหญ่การเงิน TOP เปิดเผยว่า ไตรมาส 2/53 บริษัทฯมีกำไรสุทธิลดลงจากไตรมาส 1/53 เนื่องจากบริษัทได้หยุดซ่อมบำรุงโรงกลั่นบางหน่วย ทำให้ไม่สามารถส่งวัตถุดิบให้กับโรงงานผลิตพาราไซลีนได้เต็มที่ และขาดทุนจากสต็อกน้ำมัน เนื่องจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกอ่อนตัวลง
อย่างไรก็ตาม มั่นใจว่าผลประกอบการในครึ่งปีหลังนี้น่าดีกว่าครึ่งปีแรก จากค่าการกลั่นรวมเฉลี่ยดีกว่าครึ่งปีแรกที่อยู่ระดับ 5 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล โดยไม่มีผลขาดทุน/กำไรจากสต็อกน้ำมัน
นายวิรัตน์ คาดว่าปีนี้ไทยออยล์น่าจะมีกำไรสุทธิต่ำกว่าปีก่อน เนื่องจากปัจจุบันส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบ(สเปรด)ของผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ได้ลดลงอย่างต่อเนื่อง ต่างจากปี 52 ที่ไทยออยล์รับรู้กำไรจากธุรกิจอะโรเมติกส์คิดเป็นสัดส่วนถึง 50%ของกำไรสุทธิ
"ตอนนี้ค่าการกลั่นเริ่มดีขึ้นและคงไม่มีผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมันเกิดขึ้นอีก เพราะราคาน้ำมันน่าจะยืนอยู่ได้ในระดับ 80 เหรียญต่อบาเรล และทั้งปีคาดว่าระดับราคาน้ำมันยังอยู่ในระดับที่บริษัทประเมินไว้ที่ 75 เหรียญต่อบาเรล ส่วนไตรมาส 2 แม้มีสต็อก Loss แต่เมื่อถัวเฉลี่ยกับไตรมาส 1 ที่บริษัทมีสต็อก Gain บริษัทไม่น่าจะมีผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมัน"นายวิรัตน์ กล่าว
ราคาพาราไซลีนในปัจจุบันอยู่ที่ 925 เหรียญสหรัฐ/ตัน ลดลงจากไตรมาส 1/53 อยู่ที่ 1,038 เหรียญสหรัฐ/ตัน ส่วนเบนซีนอยู่ที่ 884 เหรียญสหรัฐ/ตัน จากไตรมาส 1/53 อยู่ที่ 966 เหรียญสหรัฐ/ตัน ขณะที่สเปรดพาราไซลีนลดลงมาอยู่ที่ 213 เหรียญสหรัฐ/ตัน จากต้นปี 311 เหรียญสหรัฐ/ตัน ส่วนเบนซีนสเปรดอยู่ที่ 145 เหรียญสหรัฐ/ตัน จากอยู่ที่ 242 เหรียญสหรัฐ/ตัน
ส่วนผลกระทบจากบริษัท ผลิตไฟฟ้าอิสระ จำกัด (IPT)ที่ได้ปิดซ่อมอยู่นั้นคาดว่าจะดำเนินการซ่อมเสร็จในปลายไตรมาส 3 และจะกลับมาเดือนเครื่องผลิตใหม่ในไตรมาส 4นี้ ส่วนผลกระทบต่อกำไรสุทธินั้นคงไม่มาก เนื่องจากไทยออยล์รับรู้รายได้จากไอพีทีทั้งทางตรงและทางออมตามสัดส่วนการถือหุ้น 55% หรือบันทึกเป็นกำไรสุทธิกว่า100 ล้านบาท
ทั้งนี้ แม้กำไรสุทธิของบริษัทจะปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนแต่บริษัทพยายามจะรักษาอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลไว้ที่ 6.5% ซึ่งสูงกว่าผลตอบแทนจากเงินฝากค่อนข้างมาก