นายพิธาน องค์โฆษิต รองกรรมการผู้จัดการ บมจ.เคซีอี อีเล็คโทรนิคส์ (KCE) คาดว่า กำไรสุทธิในไตรมาส 3/53 จะสูงกว่าในไตรมาส 1/53 ที่มีกำไรสุทธิ 180.98 ล้านบาท และไตรมาส 2/53 ที่มีกำไรสุทธิ 161.07 ล้านบาท เนื่องจากยอดขายเพิ่มขึ้นในไตรมาสนี้ โดยบริษัทตั้งเป้าไว้ที่ 60 ล้านเหรียญสหรัฐ จากไตรมาสแรกทำได้ 58 ล้านเหรียญสหรัฐ และ 55 ล้านเหรียญสหรัฐในไตรมาส 2/53
"ผมมองว่ากำไรในไตรมาส 3 จะทำได้ดีกว่าในไตรมาส 1 และไตรมาส 2 และถ้าไม่มีอะไรคิดว่าไตรมาส 4 ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ผมมั่นใจว่า performance ในปีนี้เราดีขึ้นมาก"นายพิธาน กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"
บริษัทคาดว่ากำไรสุทธิทั้งปี 53 จะไม่ต่ำกว่า 600 ล้านบาท จากครึ่งปีแรกทำได้ 342.05 ล้านบาท โดยตั้งเป้ากำไรสุทธิเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% ในแต่ละปี เพราะบริษัทมุ่งเน้นลดต้นทุนและเพิ่มยอดคำสั่งซื้อต่อเนื่อง รวมทั้งพยายามหาลูกค้าใหม่ตลอด โดยปีนี้คาดว่าอัตรากำไรสุทธิจะอยู่ที่ประมาณ 8-10% และอัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยทั้งปีที่ระดับ 24-25%
ส่วนยอดขายในปีนี้มั่นใจว่าทำได้ตามเป้า 240 ล้านเหรียญ จากงวด 6 เดือนแรกทำได้แล้ว 113 ล้านเหรียญ และครึ่งปีหลังคาดว่าไตรมาส 3/53 และไตรมาส 4/53 จะทำได้ไตรมาสละ 60 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยในไตรมาส 3/53 ขณะนี้ยอดคำสั่งซื้อเริ่มใกล้ถึงเป้าหมายที่วางไว้
"ผมมองว่าราคาหุ้นที่ขึ้นมา หลักๆมาจากความสามารถทำกำไรเพิ่มขึ้นค่อนข้างเยอะ เพราะปีที่แล้ว 174 ล้านบาท ปีนี้เราคงไม่ต่ำกว่า 600 ล้านบาทแน่ๆ นักวิเคราะห์หรือผู้ถือหุ้นหลายคนก็พยายามมองว่ากำไรนิ่งแค่ไหน เพราะที่ผ่านมากำไรเราค่อนข้างแกว่ง ดีแล้วก็แย่ ถ้าเราสามารถทำให้ดีและนิ่งได้ไปเรื่อยๆ นักลงทุนก็สนใจ บริษัทมี growth potential ที่จะเติบโตขึ้น กำไรดีขึ้น Business ทำได้ดีขึ้น มีความสามารถแข่งขันสูงขึ้น ผมก็คิดว่าจะเป็นบริษัทที่นักลงทุนที่เขาดู value ก็จะเข้ามาสนใจ"นายพิธาน กล่าว
นายพิธาน กล่าววา ในครึ่งปีหลังบริษัทได้ยอดคำสั่งซื้อจากลูกค้าใหม่แล้ว 3-4 ราย รวมประมาณ 5-7 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมาจากยุโรป 3 รายและสหรัฐ 1 ราย และคาดว่าลูกค้าใหม่จะเพิ่มขึ้นในปีหน้า โดยอยู่ในกลุ่มรถยนต์ และ กลุ่มสินค้าconsumer ได้แก่ ทีวี พริ้นเตอร์ เป็นต้น
ส่วนลูกค้าญี่ปุ่น ขณะนี้บริษัทได้ดำเนินการจัดตั้งสำนักงานแล้ว แต่คงต้องใช้เวลาสร้างความเชื่อมั่นกับลูกค้าอีกระยะหนึ่ง และคาดว่าจะเริ่มมียอดคำสั่งซื้อในปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า
อนึ่ง ราคาหุ้น KCE เคลื่อนไหวที่ 9.75 บาท บวก 0.55 บาท (+5.98%) เมื่อเวลา 15.48 น.โดยราคาขึ้นไปสูงสุดที่ 9.95 บาท สูงสุดในรอบ 6 ปี