โบรกเกอร์ต่างเห็นพ้องแนะ"ซื้อ"หุ้น บมจ.ไทยสแตนเลย์การไฟฟ้า(STANLY)หลังประเมินผลดำเนินงานปี 53 โดดเด่น โดยเฉพาะแนวโน้มกำไรงวด 2Q53 มีโอกาสเติบโตมากและแตะจุดสูงสุดของปี เนื่องจากคำสั่งซื้อที่เข้ามาต่อเนื่องตามการฟื้นตัวของธุรกิจยานยนต์ และแรงหนุนจาก Eco car ส่งให้มีออเดอร์จาก Mitsubishi และ Suzuki เข้ามาเสริม
อีกทั้ง STANLY ยังมีครองส่วนแบ่งตลาดการนำเข้าและจำหน่ายหลอดไฟและอุปกรณ์ให้แสงสว่างสำหรับยานพาหนะในประเทศไทยสูงถึง 70% ถือว่าได้เปรียบในอุตสาหกรรมเดียวกัน และเป็นหุ้นที่แข็งแกร่งทั้งยอดขายและมาร์จิ้น ทำให้ตัวหุ้นมีความน่าสนใจต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะมีการจ่ายเงินแปันผลในระดับที่ดีราว 8 บาท/หุ้นในปีนี้
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท) บล.เอเชียพลัส ซื้อ 223.50 บล.ฟิลลิป ซื้อเก็งกำไร 190.00 บล.กิมเอ็ง ซื้อ 185 บล.เคจีไอ ซื้อ 183 บล.เกียรตินาคิน ซื้อ 182.80
นาย ดิษฐนพ วัธนเวคิน นักวิเคราะห์ บล.เกียรตินาคิน มองว่า STANLY เป็นหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของธุรกิจยานยนต์ และได้เปรียบมากที่สุด เพราะด้วยการดำเนินธุรกิจนำเข้าและจำหน่ายหลอดไฟและอุปกรณ์ให้แสงสว่างสำหรับยานพาหนะเพียงรายเดียวในบริษัทจดทะเบียนกลุ่มยานยนต์ โดยมีส่วนแบ่งตลาดในประเทศไทยถึง 70 %
นอกจากนี้ยังเป็นหุ้นที่ถือว่ามีความเสี่ยงน้อยเมื่อเทียบกับหุ้นตัวอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกัน เพราะภายใต้ที่ไม่มีหนี้สิน และยังมีเงินสดในมือกว่า 3 พันล้านบาท ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีความพร้อมในการขยายกำลังการผลิต หากต้องการที่จะทำในอนาคต จึง เป็นหุ้นที่โดดเด่นและน่าลงทุนในช่วงนี้
ขณะที่ประกาศผลประกอบการออกมาในไตรมาส 1/53(เม.ย.-มิ.ย.53)เติบโตแข็งแกร่ง โดยมีกำไร 367 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 297% จากปีก่อน เป็นการฟื้นตัวตามภาวะอุตสาหกรรมยานยนต์ในครึ่งปีแรกที่ยอดผลิตยานยนต์เติบโตกว่า 98% จากปีก่อน ประกอบกับ บริษัทมีการปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น คาดปี 53 กำไร 1.47 พันล้านบาท เติบโต 53%
อีกทั้ง มีความคืบหน้าที่บริษัทอยู่ระหว่างเตรียมแผนการขยายกำลังการผลิตรองรับการเติบโของรถ Eco Car หลังจากเห็นการประสบความสำเร็จของ Nissan March โดยบริษัทมั่นใจแล้วว่าจะได้ลูกค้า 2 ราย คือ Mitsubishi และ Suzuki นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างเจรจากับลูกค้ารายอื่น ๆ เพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งโครงการดังกล่าวคาดว่าจะเริ่มดำเนินการผลิตได้ในปี 55
ขณะที่ผลการดำเนินงานปี 53 ก็เชื่อว่าจะโดดเด่นโดยที่บริษัทมองว่าบริษัทน่าจะจ่ายเงินปันผล 8 บาท/หุ้น คิดเป็นผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) เท่ากับ 4.7% ประเมินราคาเหมาะสมปี 53 เท่ากับ 182.80 บาท ยังมี Up-side Gain 6.6% แนะ"ซื้อลงทุน"
นางสาวนวลพรรณ น้อยรัชชกร นักวิเคราะห์ บล.เอเชียพลัส จำกัด กล่าวว่า หุ้น STANLY สามารถลงทุนในระยะยาวได้ แม้มีความเป็นไปได้ที่จะเห็นการใช้เงินทุน ตามแผนที่จะสร้างโรงงานโคมไฟแห่งใหม่คิดเป็นมูลค่าการลงทุนเกือบ 2 พันล้านบาท แต่การลงทุนดังกล่าวก็ถือเป็นการลงทุนเพื่อรองรับออเดอร์ในอนาคตจึงน่าจะส่งผลดีต่อตัวบริษัททั้งในแง่ผลการดำเนินงาน และกำไร
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการลงทุนแต่ก็เชื่อว่าไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อฐานะทางการเงินของบริษัท เพราะบริษัทมีเงินสดในมือสูงถึง 3.5 พันล้านบาท ณ สิ้นงวด 1Q 53/54 จึงไม่น่ามีปัญหา อีกทั้งไม่มีหนี้สิน จึงทำให้บริษัทมีความพร้อมในการลงทุนสูง
นอกจากนี้ ภายใต้แนวโน้มกำไร 2Q 53/54(ก.ค.-ก.ย.53)ตามที่บริษัทประเมิน ก็พบว่ามีโอกาสที่จะสูงมากขึ้นที่จะแตะจุดสูงสุดของปี จากคำสั่งซื้อที่เข้ามาต่อเนื่องทั้งในส่วนของรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ประกอบกับ งวดดังกล่าวไม่มีช่วงวันหยุดยาว ทำให้สามารถกลับมาผลิตได้เต็มที่มากขึ้น เบื้องต้นคาดจะผลักดันให้ยอดขายเพิ่มขึ้นจาก 1Q 53/54 อยู่ที่ 2.3 พันล้านบาท
ส่วนด้านกำไร เชื่อว่าผลพวงจากความสามารถในการควบคุมต้นทุนได้อย่างดีเยี่ยมจะหนุนให้ Gross margin ยืนเหนือ 25% และเมื่อรวมกับเงินปันผลรับจากบริษัทร่วม ปกติจะเข้ามาใน 2Q 53/54 อย่างน้อย 45 ล้านบาท ยิ่งจะเสริมให้กำไรรวมสูงกว่า 370 ล้านบาท นับเป็นกำไรสูงกว่าคาด โดยหลักมาจากประสิทธิภาพการทำกำไรเหนือความคาดหมาย ทำให้ฝ่ายวิจัยปรับเพิ่มกำไรปกติปี 53/54 เพิ่มขึ้นจากประมาณการเดิม 22% อยู่ที่ 1,317 ล้านบาท โดยเติบโต 38.7% yoy ขณะที่ปี 54/55 ปรับกำไรขึ้นจากเดิม 20.5% เท่ากับ 1,461 ล้านบาท
นักวิเคราะห์ ระบุต่อว่า STANLY ยังมีจุดเด่นในเรื่องการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ อีกทั้งมีกลุ่มลูกค้ากระจายตัว ทำให้มีศักยภาพการเติบโตระยะยาวจากออเดอร์ใหม่ที่เข้ามาต่อเนื่อง เห็นได้จากความคืบหน้าล่าสุดที่ได้รับคำสั่งซื้อใหม่จากชิ้นส่วนงานรถอีโคคาร์ของมิตซูบิชิและซูซูกิเต็ม 100% รวมถึงบางส่วนจากฮอนด้า(เฉพาะงานไฟเบรก)โดยคาดจะเริ่มผลิตปี 55 เป็นต้นไปด้วย
บทวิเคราะห์ บล.ฟิลลิป กล่าวว่า แนะนำ"ซื้อเก็งกำไร"STANLY เนื่องจากราคาปรับตัวสูงมาสูง เหลือ upside ค่อนข้างจำกัด เทียบราคาพื้นฐานปี 53-54 ที่ 190 บาทอ้างอิง P/E 10 เท่า
แต่ในแง่ผลการดำเนินงานถือว่าโดดเด่น ด้วยการปรับตัวที่ดีของสภาพเศรษฐกิจสนับสนุนในอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ปรับตัวสูงขึ้นโดยในช่วงเดือน เม.ย.-มิ.ย.53 ยอดการผลิตรถยนต์อยู่ที่ 386,050 คันเพิ่มขึ้น 103.06%YoY ในขณะที่ยอดขายกว่า 65% ของ STANLY มาจากในส่วนของรถยนต์ จึงทำให้ยอดขายในไตรมาส 1Q 53-54 ปรับตัวสูงขึ้นกว่า 65.17%YoY อยู่ที่ 2,226.66 ล้านบาท
นอกจากการปรับตัวที่ดีของยอดขายแล้ว การใช้กำลังการผลิตที่มากขึ้นประกอบกับการปรับปรุงการผลิตเพื่อลดอัตราการของเสียลงจึงทำให้อัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาสแรกนี้เพิ่มขึ้นมาถึง 27.92% จากที่เคยอยู่ที่เพียง 14.73% ของช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมาและมีกำไรสุทธิที่ 367.04 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 297.03% YoY
อย่างไรก็ตาม จากฟื้นตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ได้ปัจจัยบวกจากราคาผลผลิตทางการเกษตร อัตราดอกเบี้ยที่ยังคงต่ำ ราคาน้ำมันที่มีเสถึยรภาพ และการที่ทาง Toyota ปรับเป้าหมายการขายสำหรับตลาดรถยนต์รวมของปี 53 ขึ้นจากเดิมที่อยู่ที่ราว 650,000 คันมาเป็น 750,000 คันเพิ่มขึ้น 36.64%YoY
รวมทั้งการนำเสนอรถยนต์รุ่นใหม่ที่ได้รับการตอบ รับเป็นอย่างดีเช่นกัน โดยเฉพาะรถยนต์นั่งขนาดเล็ก และรถประหยัดพลังงาน(Eco Car)จึงส่งผลต่อ STANLY นั้นได้รับการยืนยัน Eco car จากทั้งค่าย Honda, Mitsubishi และ Suzuki แล้ว ซึ่งมองจะเป็นปัจจัยต่อ STANLY ให้ผลประกอบการปรับตัวสูงขึ้นดังนั้นจึงเป็นหุ้นที่เลือกลงทุนได้