หุ้น IFS ปิดเทรดช่วงเช้าที่ 1.83 บาท เพิ่มขึ้น 0.48 บาท (+35.55%)จากราคาจองซื้อที่ 1.35 บาท/หุ้น มูลค่าซื้อขาย 320.34 ล้านบาท โดยเปิดตลาดที่ 1.96 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 1.97 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 1.76 บาท
บล.เคที ซีมิโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ฯประเมินราคาที่เหมาะสม 12 เดือนของหุ้น บมจ. ไอเอฟเอส แคปปิตอล (ประเทศไทย)หรือ IFS อยู่ที่ 1.58 บาท/หุ้น
IFS เป็นผู้ประกอบการให้สินเชื่อแฟคตอริ่ง คือการให้สินเชื่อโดยใช้ลูกหนี้การค้า(Invoice) เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน โดย IFS ดำเนินธุรกิจนี้มาเกือบ 20 ปี มี IFS (สิงคโปร์) เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 98% โดยสินเชื่อแฟคตอริ่งของ IFS ทั้งหมดเป็นแบบมีสิทธิไล่เบี้ย (with recourse) จากลูกค้าที่มาขอกู้ในกรณีลูกหนี้การค้าตามใบ Invoice ผิดนัดชำระหนี้ โดย 85% เป็นการให้สินเชื่อฯ กับลูกหนี้การค้าที่ขายสินค้าในประเทศ และที่เหลือเป็นลูกหนี้การค้าเพื่อส่งออก และจากตัวเลขปี 2551 IFS มีส่วนแบ่งตลาด 14.8% รองจาก K-factoring ที่ส่วนแบ่งตลาด 25-30% และใกล้กลับ SME Bank
ปัจจุบัน IFS มีอัตราหนี้/ทุนอยู่ที่ 2.8 เท่า แหล่งเงินทุนคือการกู้ระยะสั้น และ O/D จากธนาคาร 6 แห่ง โดยค่าเฉลี่ยต้นทุนทางการเงินในช่วง 2 ปีนี้อยู่ที่ 4% (ต่ำกว่าผู้ประกอบการอิสระรายอื่น ๆ ประมาณ 1-2%) ซึ่งการมีต้นทุนทางการเงินที่ต่ำช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการอิสระรายอื่นๆ และยังเป็นการแสดงให้เห็นถึงฐานะทางการเงินที่ มั่นคงของบริษัท
อย่างไรก็ดี การนำเสนอบริการสินเชื่อครบวงจรของธนาคารพาณิชย์ และข้อได้เปรียบเรื่องต้นทุนทางการเงิน ทำให้ผู้ประการสินเชื่อแฟคตอริ่งอิสระมีบทบาทน้อยลง และเสียเปรียบธนาคารพาณิชย์ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ธุรกิจแฟคตอริ่งถือเป็นสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกัน ดังนั้นลูกค้าที่มีคุณภาพดีมีทางเลือกขอสินเชื่อ O/D แทนที่จะเป็นสินเชื่อแฟคตอริ่งได้ ดังนั้นลูกหนี้ที่ใช้ บริการสินเชื่อแฟคตอริ่งจากบริษัทอิสระจึงเป็นกลุ่มที่ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อหรือไม่ผ่านการพิจารณาคุณภาพลูกหนี้จากธนาคารพาณิชย์ ดังนั้นการเติบโตในอนาคตอาจจะไม่สูงนัก