(เพิ่มเติม) PS ปรับเพิ่มเป้ายอดพรีเซลปี 53 เป็น 3.5 หมื่นลบ.จากเดิม 2.9 หมื่นลบ.

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday August 11, 2010 13:17 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท(PS)ปรับเป้าหมายยอดพรีเซลปี 53 เพิ่มเป็น 3.5 หมื่นล้านบาท จากเดิมที่ตั้งไว้ 2.9 หมื่นล้านบาท เนื่องจากในช่วงครึ่งปีแรกมียอดพรีเซลแล้วประมาณ 2 หมื่นล้านบาท และบริษัทได้ปรับเพิ่มแผนเปิดตัวโครงการใหม่เป็น 68 โครงการ จากแผนเดิม 48 โครงการ โดยบริษัทได้เพิ่มงบลงทุนอีก 7 พันล้านบาทจากที่เตรียมไว้ 2 หมื่นล้านบาท เพื่อใช้ซื้อที่ดินใหม่ที่จะนำมาพัฒนาโครงการที่เพิ่มเข้ามา

อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงเป้ายอดรายได้ในปีนี้ที่ 2.4 หมื่นล้านบาท และรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ในระดับ 36-37%

นายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ PS กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทเปิดโครงการใหม่ไปแล้ว 39 โครงการ มูลค่ารวม 25,234 ล้านบาท และในครึ่งปีหลังจะเปิดอีก 29 โครงการ แบ่งเป็นโครงการทาวน์เฮ้าส์ 7 โครงการ บ้านเดี่ยว 13 โครงการ คอนโดมิเนียม 6 โครงการ และโครงการในต่างประเทศอีก 3 โครงการ เฉลี่ยมูลค่าโครงการละ 700 ล้านบาท

"ที่เปิดเยอะมาก ถือว่าเดินมาถูกทางแล้ว ตลาดเปิดคนที่ไปได้เร็วกว่าคนอื่นได้เปรียบ...พยายามรักษาการโตให้ต่อเนื่อง รายได้จะได้สม่ำเสมอ ถ้าโอกาสมา ตลาดไม่รอใคร เร่งดูดซับดีมานด์ที่มีอยู่ ใครทำก่อนก็ได้ก่อน" นายทองมา กล่าว

สำหรับในปี 53 บริษัทยังคงเป้ารายได้ที่ 2.4 หมื่นล้านบาท หรือเติบโต 27% จากปีก่อนที่มีรายได้กว่า 1.9 หมื่นล้านบาท และครึ่งปีแรกมียอดรับรู้รายได้แล้วกว่า 12,500 ล้านบาท คิดเป็น 53% ของรายได้รวมในปีนี้ ในช่วงไตรมาส 3/53 จะมีการรับรู้รายได้จากคอนโดมิเนียมและทาวเฮ้าส์เพิ่มเข้ามา

"ครึ่งปีเดินมากว่าครึ่งทางแล้ว เป้า 2.4 หมื่นล้านบาท น่าจะทำได้"นายทองมา กล่าว

นายทองมา กล่าวว่า ณ สิ้นไตรมาส 2/53 บริษัทมียอดขายรอโอน(Backlog)ที่ 22,644 ล้านบาท ถือว่าสูงสุดในอุตสาหกรรม โดยจะทยอยรับรู้รายได้ต่อเนื่องไปจนถึงปี 55

ขณะที่ บริษัทได้มีการปรับเพิ่มเป้ายอดพรีเซลปีนี้เป็น 3.5 หมื่นล้านบาท จากเดิม 2.9 หมื่นล้านบาท โดยครึ่งปีแรกมียอดพรีเซล20,019 ล้านบาท และได้ปรับเพิ่มงบลงทุนรวมอีกราว 7 พันล้านบาท จาก 2.7 หมื่นล้านบาท เพื่อใช้ซื้อที่ดินเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากบริษัทมีแผนจะทำคอนโดฯ มากขึ้นในอนาคต

นายทองมา กล่าวถึงมติคณะกรรมการบริษัทที่อนุมัติการขายและออกตราสารหนี้ตามโครงการ (Shelf Filing) โดยไม่จำกัดวงเงินและจำนวนครั้งที่เสนอขาย โดยขออนุญาตเป็นโครงการไม่เกิน 5 ปีและกำหนดวงเงินสูงสุดไม่เกิน 7,500 ล้านบาทว่า คงรอดูตลาดเงินในเรื่องของอัตราดอกเบี้ยก่อน แต่ช่วงแรกอาจจะระดมทุนระยะสั้นในลักษณะของตั๋วบีอีที่จะเสนอขายผ่านธนาคารพาณิชย์ไปก่อน แต่การระดมทุนระยะยาวอาจจะพิจารณาช่วงปลายปีหรือต้นปีหน้า วงเงินประมาณ 3 พันล้านบาท แต่ไม่เกิน 5 พันล้านบาท อายุหุ้นกู้ 3-5 ปี

*วางเป้าหมายเดินหน้าขยายตลาดต่างประเทศ

นายทองมา กล่าวถึง การลงทุนในต่างประเทศว่า บริษัทยังศึกษาความเป็นไปได้ที่จะทำโครงการในจีน อินโดนีเซีย ฯ และรัฐสุลต่านโอมาน แต่อาจจะยังไม่เห็นในปีนี้

ส่วนโครงการในปีนี้ที่จะเปิดในต่างประเทศ ได้แก่ ที่สาธารณรัฐมัลดีฟส์ เมืองบังกาลอร์ ประเทศอินเดีย เมืองไฮฟง ประเทศ เวียดนาม โดยเมื่อเดือนก.ค. ที่ผ่านมาได้เปิดคอนโดฯ ที่มัลดีฟ 180 ยูนิต มียอดจอง 595 ล้านบาท ส่วนที่บังกาลอร์ อินเดียอยู่ระหว่างรอใบอนุญาต และที่เวียดนาม คาดว่าจะเปิดขายไตรมาส 4 ปีนี้ ขณะนี้อยู่ในช่วงเวนคืนที่ดิน

ขณะที่การรับรู้รายได้จากต่างประเทศในปีนี้ประมาณ 200 ล้านบาท

นายทองมา ระบุถึงบทวิเคราะห์ บล.บังหลวง ที่ระลบุว่า บริษัทมียอดขายอันดับ 21 ของเอเชีย ทั้งนี้บริษัทวางเป้าติด 1 ใน 10 ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาอีก 7-8 ปี

"การที่จะติด 1 ใน 10 นั้นรายได้จะต้องโตปีละ 25% ไปอีก 7-8 ปี" นายทองมา กล่าว

สำหรับปีนี้บริษัทคาดว่า น่าจะรักษา Gross Profit Margin ที่ 36-37% จากครึ่งปีแรก 37% แม้ต้นทุนการก่อสร้างจะสูง แต่ยังควบคุมได้ดี เนื่องจากมีการบริหารจัดการดี ทำให้ราคาบ้านไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก

สำหรับตลาดอสังหาริมทรัพย์ในครึ่งปีหลัง นายทองมา มองว่า ผู้ประกอบการรายใหญ่น่าจะมีการออกโครงการใหม่มากขึ้น จากที่ชะลอมาในช่วงครึ่งปีแรก ทำให้ต้องมีการปรับตัว ในช่วงครึ่งปีหลังการแข่งขันจะสูงขึ้น แต่ผู้ประกอบการรายเล็กคงจะเปิดโครงการไม่มาก เพราะธนาคารพาณิชย์ไม่ปล่อยสินเชื่อ และจะมีการเปลี่ยนตลาด บางรายทำคอนโดฯ ระดับราคา 1 ล้านบาท หรือคอนโดฯ ติดรถไฟฟ้า 2-5 ล้านบาท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ