บมจ.ไทยคม(THCOM)ยังหวังว่าผลประกอบการในปี 53 จะสามารถทำกำไรได้ แม้ว่า 6 เดือนแรกของปีนี้จะขาดทุนสูงถึง 308 ล้านบาท เนื่องจากในช่วงครึ่งปีหลังนี้บริษัทจะรับรู้รายได้จากธุรกิจไอพีสตาร์ในอินเดียและจีน ซึ่งจะช่วยทำให้ผลประกอบการดีขึ้น นอกจากนั้นยังคาดว่ามีลูกค้าใหม่ขนาดใหญ่จากอินโดนีเซีย มาเลเซีย และ ฟิลิปปินส์ เข้ามาเพิ่ม ทำให้บริษัทมั่นใจว่ารายได้ในปีนี้จะเติบโตได้ 30% ตามเป้าหมาย
นายธนฑิต เจริญจันทร์ หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน THCOM กล่าวว่า บริษัทยังเชื่อว่าปีนี้จะมีกำไรสุทธิ แม้ว่าครึ่งปีแรกจะขาดทุน โดยเชื่อว่าครึ่งปีหลังจะมีกำไรสุทธิมากหลังจากรับรู้รายได้จากธุรกิจไอพีสตาร์ในอินเดียที่จะเข้ามาตั้งแต่ไตรมาส 3/53 และคาดว่าจะเรียกเก็บเงินย้อนหลังจากผู้เช่าสัญญาไอพีสตาร์ในประเทศจีน หลังจากการเซ็นสัญญาล่าช้ากว่าการให้บริการเช่าช่องสัญญาณที่เริ่มไปแล้ว
และบริษัทยังอยู่ระหว่างการรอเซ็นสัญญางานขนาดใหญ่ในส่วนของไอพีสตาร์ในอีกหลายประเทศ รวมทั้งขณะนี้บริษัทมีมูลค่างานที่เซ็นสัญญาในมือ(backlog)แล้ว 120 ล้านเหรียญสหรัฐ คาดว่าจะรับรู้รายได้ในปีนี้ประมาณ 100 ล้านเหรียญสหรัฐ
สำหรับธุรกิจให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในประเทศลาวและกัมพูชา ขณะนี้บริษัทประสบปัญหาการแข่งขันด้านราคาอย่างรุนแรงในกัมพูชา แต่รัฐบาลกัมพูชาได้เข้ามาควบคุมเรื่องราคาแล่ว ทำให้นับจากนี้เชื่อว่าปัญหาจะหมดไป ธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่กจะลับมาดีขึ้นอีกครั้ง ส่วนการให้บริการในลาวขณะนี้ยังคงเป็นผู้ให้บริการอันดับ 1 มียอดผู้ใช้บริการ 1.4 ล้านราย และเชื่อว่าตลาดยังขยายตัวได้ต่อเนื่องจากการขยายสถานีฐานเพิ่มขึ้น
ส่วนธุรกิจดีทีวีเชื่อว่าปีนี้ยอดผู้ใช้บริการจะเพิ่มเป็น 1 ล้านราย จาก 8.76 แสนราย ณ สิ้นไตรมาส 2/53
นายธนฑิต กล่าวว่า บริษัทสนใจทำธุรกิจสื่อที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจดาวเทียม ได้แก่ ธุรกิจบรอดแคสท์ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาและคาดว่าจะเห็นความชัดเจนภายในปีนี้
นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์ ประธานเจ้าหน้าที่คณะผู้บริหาร THCOM เปิดเผยถึงกรณีช่องสัญญาณดาวเทียมของประเทศไทยย่าน 50.5 E ที่กำลังจะหมดอายุลงนั้น บริษัทเสนอให้นำดาวเทียมไทยคม 2 ที่กำลังจะปลดระวางจากวงโคจรเดิมเข้าไปแทนที่เพื่อรักษาสิทธิวงโคจรไว้ ซึ่งดาวเทียมไทยคม 2 ยังมีอายุใช้งานได้อีก จากนั้นค่อยปลดจากวงโคจร เพื่อให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ไอซีที)มีเวลาในการพิจารณาว่าจะหาดาวเทียมดวงใหม่มาทดแทนหรือไม่ คาดว่าจะใช้เวลา 2 เดือนในการเคลื่อนย้ายดาวเทียม
ขณะที่ดาวเทียมไทยคม 5 ขณะนี้มี capacity เหลืออีก 20% หลังจากย้ายลูกค้าจากดาวเทียมไทยคม 2 มาหมดแล้ว
นายอารักษ์ กล่าวว่า บริษัทยังคงดำเนินธุรกิจตามปกติ และคู่ค้าไม่ได้มีความกังวลใด ๆ ต่อกรณีที่บริษัทถูกตรวจสอบสัมปทาน โดยบริษัทยังมีการพูดคุยกับผู้บริหารของกระทรวงไอซีทีอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าศาลฎีกาจะมีมติไม่รับอุทธรณ์คดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แต่ก็ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับบริษัท เพราะเป็นกรณีส่วนตัว