บมจ.ธีระมงคลอุตสาหกรรม (TMI) คาดว่ากำไรของบริษัทในปี 53 มีโอกาสเติบโตได้เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้เดิม 17-20% หลังจากครึ่งปีแรกกำไรเติบโตถึง 81% และแนวโน้มยังเติบโตต่อเนื่อง เนื่องจากปัจจุบันการเมืองเริ่มนิ่งขึ้น ตลาดโดยรวมในประเทศอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ ซึ่งบริษัทมีแนวโน้มจะได้รับงานเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะงานภาครัฐ ซึ่งมีโครงการสำคัญด้านการอนุรักษ์พลังงานที่คาดว่าจะรู้ผลภายในสิ้นปีนี้ มูลค่าประมาณ 10 ล้านบาท
ขณะที่การส่งออกมีแนวโน้มที่ดีขึ้นเช่นกัน เนื่องจากได้เปรียบคู่แข่งจากประเทศจีน เพราะค่าเงินหยวนแข็งค่ามากขึ้น ประกอบกับ รัฐบาลจีนลดความช่วยเหลือผู้ผลิตบัลลาสต์ลง ซึ่งขณะนี้บริษัทได้เน้นการทำตลาดในแถบเอเชียใต้ อินโดนีเซีย รวมถึงตะวันออกกลาง โดยเตรียมเจาะตลาดเยเมนและการ์ต้า หลังจากล่าสุดสามารถเปิดตลาดในอียิปต์ได้แล้ว
นายธีระชัย ประสิทธิ์รัตนพร กรรมการผู้จัดการ TMI กล่าวว่า แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 3/53 จะดีขึ้นกว่าไตรมาส 2/53 แน่นอน เนื่องจากการเมืองค่อนข้างนิ่งแล้ว ภาพรวมตลาดในประเทศดีขึ้นและการส่งออกก็ดีขึ้นด้วย โดยเฉพาะค่าเงินหยวนแข็งค่าขึ้นมากและรัฐบาลจีนยกเลิกมาตรการอุดหนุนผู้ผลิตบัลลาสต์ ทำให้แนวโน้มสินค้าจากจีนมีราคาสูงขึ้น ส่งผลดีต่อสินค้าไทยสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ดีขึ้น เพราะได้เปรียบเรื่องราคา
อนึ่ง TMI รายงานกำไรไตรมาส 2/53 อยู่ที่ 3.98 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.01 บาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 4.67 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.02 บาท
ปัจจุบัน สัดส่วนรายได้หลักมาจากตลาดในประเทศ 90% และต่างประเทศ 10% โดยงานในประเทศนั้นบริษัทมีแผนจะประมูลงานภาครัฐเพิ่มเติมในปีนี้ โดยขณะนี้การประมูลงานโครงการเกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงานของภาครัฐเพื่อประหยัดไฟท้องถนน มูลค่า 10 ล้านบาท คาดว่าจะรู้ผลภายในปีนี้ และที่ผ่านมาเข้าไปประมูลงานหลายโครงการทั้งของการไฟฟ้านครหลวง กรมทางหลวงชนบท แต่เป็นโครงการเล็ก ๆ มูลค่าโครงการประมาณ 2 ล้านบาท
ส่วนงานต่างประเทศ บริษัทได้ลูกค้าใหม่ล่าสุดคืออียิปต์ และมีแผนออกบูทในอินเดีย 14-16 ก.ย.นี้ ซึ่งแผนขยายการตลาดส่งออกของบริษัท เน้นในกลุ่มเอเชียใต้ เนื่องจากมองว่าตลาดอินเดียและปากีสถานมีศักยภาพสูงเพราะเป็นตลาดใหญ่มีประชากรมาก ส่วน ตลาดอาเซียน มีฐานเกือบหมดแล้ว ยกเว้นอินโดนีเซีย ซึ่งขณะนี้มีการติดต่อกับตัวแทนจำหน่ายแล้ว อยู่ระหว่างรอดูมาตรฐานสินค้า คาดว่าน่าจะได้ข้อสรุปภายในปีนี้
แผนการตลาดครึ่งปีหลัง ยังเน้นการบริหารงานของดีลเลอร์ในการดึงศักยภาพออกมาให้ได้มากที่สุด และจะมีการออกผลิตภัณฑ์หลอดไฟถนนแบบใหม่เริ่มผลิตภายในปีนี้ คาดว่าจะช่วยทำให้เข้าประมูลงานภาครัฐได้ง่ายยิ่งขึ้น เพราะเป็นสินค้าทดแทนการนำเข้า รวมทั้งการขยายตลาดหลอดไฟตะเกียบที่กำลังเติบโตมาก หากบุกตลาดนี้ได้ก็จะทำให้ยอดขายเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด
นายธีระชัย กล่าวว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมแสงสว่างมีมูลค่าตลาดรวมประมาณ 8 พันล้านบาท/ปี ยังมีโอกาสเติบโตได้แต่อาจจะมีอัตราเติบโตไม่มากนัก เพราะมีการเมืองเป็นปัจจัยหลักที่กดดันอยู่ ส่วนปัญหาเศรษฐกิจต่างประเทศจะมีผลกระทบไม่มาก เพราะบริษัทมีการส่งออกไม่มาก
ด้านนายธีรศักดิ์ ประสิทธิ์รัตนพร กรรมการ TMI กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทกำลังมองโอกาสที่จะขยายตลาดตลาดตะวันออกกลางที่ เยเมนและการ์ต้า หลังจากเปิดตลาดในอียิปต์เป็นประเทศล่าสุด จากที่ทำตลาดไปแล้ว 3 ประเทศ คือ ซีเรีย จอร์แดน และ ซาอุดิอาราเบีย โดยรายได้จากแต่ละประเทศอยู่ที่ประมาณ 5-6 ล้านบาท/ปี ซึ่งโอกาสในการทำตลาดยังไปได้อีกมาก เนื่องจากประเทศแถบนี้ไม่นิยมซื้อสินค้าจากจีน เพราะมองว่าคุณภาพต่ำ
ขณะที่ตลาดยุโรปและสหรัฐคงจะเข้าไปยาก เพราะมาตรฐานสูง มีรายละเอียดมาก