โบรกเกอร์แนะ"ซื้อ"หุ้นบมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น(STEC)โดยหลายโบรกเกอร์เตรียมปรับประมาณการกำไรและราคาเป้าหมายใหม่ หลังจากงานใหม่หลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสายส่งผลให้งานในมือ(backlog)เติบโตโดดเด่นทำ new high ในปีนี้และต่อเนื่องในปี 54 ซึ่งจะทำให้ผลประกอบการแข็งแกร่งในปี 53-54
ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้น(มาร์จิ้น)เติบโตขึ้นถึง 123% ในงวดไตรมาส 2/53 มาเป็น 10.43% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 3.95% และยังเติบโตต่อเนื่องในครึ่งปีหลัง เนื่องจากจะมีการรับรู้รายได้จากโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วงสัญญา 2 เข้ามาประมาณ 2,000 ล้านบาท
ส่วนในปี 54 ยังเติบโตต่อเนื่องจากการทยอยเปิดประมูลโครงการรถไฟฟ้าไม่ต่ำกว่า 3 สาย สายสีแดง สีเขียวเข้มและเขียวอ่อน แนะให้เข้าลงทุนในระยะยาว พร้อมปรับคาดการณ์รายได้ในปีหน้าเพิ่ม
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท) บล.ยูไนเต็ด ซื้อ 10.60 (ปี 54) บล.ธนชาต ซื้อ 8.10 (อยู่ระหว่างปรับเพิ่ม) บล.พัฒนสิน ซื้อ 9.40 บล.ฟาร์อีสท์ ซื้อ 8.80 บล.ไอร่า ซื้อ 8.60
นายคงสวัสดิ์ มงคลพรอุดม นักวิเคราะห์ บล.ยูไนเต็ด กล่าวว่า STEC โดดเด่นในกลุ่มรับเหมาช่วงนี้ เห็นได้จากด้านราคาหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 20% ในช่วง 1 สัปดาห์ตั้งแต่วันที่ 5 ส.ค.ถึงปัจจุบัน เนื่องจากมีแนวโน้มธุรกิจที่สดใสด้วย Backlog ระดับกว่า 3.5 หมื่นล้านบาท ถือว่ามากเมื่อเทียบกับในอดีตที่มี Backlog ในระดับ 1 หมื่นล้านบาท เท่านั้น
ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้น(มาร์จิ้น)ก็ปรับตัวดีขึ้นตลอด เพราะงานเก่าที่มีมาร์จิ้นต่ำกำลังหมดไป ขณะที่งานใหม่มีมาร์จิ้นเฉลี่ยสูงกว่า 10% จากปีก่อนที่อยู่ในระดับ 3% รวมถึงธุรกิจโรงไฟฟ้าที่จะมีบิดประมูลในเร็ว ๆ นี้ จึงไม่น่าแปลกใจที่หุ้นตัวนี้จะได้รับความน่าสนใจในการลงทุนในช่วงนี้ และถือเป็นหุ้นปลอดภัยที่จะลงทุนในระยะยาวได้
ทั้งนี้ ภายใต้ Backlog ที่มีอยู่สูงมากทำให้ได้เปรียบในแง่ความแข็งแกร่งและความสามารถในการทำรายได้ในปี 54 ที่จะขยายตัวต่อเนื่องจากปีนี้ ซึ่งในครึ่งปีหลังรายได้จากโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วงจะเริ่มเข้ามาบันทึกในงบการเงิน คาดว่าจะทำให้รับรู้รายได้และมาร์จิ้นสูงขึ้นอีก รวมทั้ง STEC ยังมีโอกาสประมูลโครงการรถไฟสายสีแดงในปีหน้า เชื่อว่า STEC มีโอกาสได้งานเพิ่ม
ดังนั้น จึงได้ประมาณการณ์รายได้ในปีหน้า 1.3 หมื่นล้านบาทจากปีนี้ 1.08 หมื่นล้านบาท
ขณะที่ผลประกอบการ 2Q53 ออกมาดีทีเดียว รายได้อยู่ที่ 1,848 ลบ.แม้จะลดลง 46 % YoY แต่มาร์จิ้นสูงขึ้นมาเป็น10.43% จากช่วงเดี่ยวกันในปีก่อนอยู่ที่ 3.95% และไตรมาส 1/53 อยู่ที่ 8.43% ส่งผลให้กำไรขั้นต้นปรับตัวขึ้นถึง 43%YoY มาที่ 193 ล้านบาท ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายไม่ได้ปรับตัวขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อน ทำให้มีกำไรจากการดำเนินงาน 97 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 147%YoY
ประกอบกับ ดอกเบี้ยจ่ายลดลงเหลือเพียง 4 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ 10 ล้านบาท ส่งผลให้ไตรมาสนี้มีกำไรถึง 95 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 123%YoY
และจากอัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้นนั้น ถือเป็นสัญญานที่ดีต่อแนวโน้มในครึ่งปีหลัง โดยในครึ่งปีแรกทำกำไรได้แล้ว 30% ของที่เราประมาณการณ์ทั้งปี (คาดการณ์กำไรทั้งปีที่ 590 ล้านบาท (EPS 0.50บาท/หุ้น)) ดังนั้น จึงมีการปรับไปใช้ราคาปัจจัยพื้นฐานในปี 54 โดยมีราคาเป้าหมายที่ 10.60 บาท จากปี 53 ให้ราคา 7.50 บาท
นางสาวรัชนก ด่านดำรงค์รักษ์ นักวิเคราะห์ บล.ธนชาต ระบุว่า STEC มีความโดดเด่นที่สุดในกลุ่มรับเหมาฯ เพราะด้วยฐานะทางการเงินที่ดี โดยเฉพาะเงินสดในมือ เมื่อเทียบกับรายอื่นที่ต้องหาเงินทั้งการออกหุ้นกู้หรือการเพิ่มทุนเพื่อนำเงินมาใช้ และยังรับข่าวภาพรวมจากการที่ส.ส จะโหวตรับร่างพ.ร.บ งบประมาณปี 2554 ทำให้กลุ่มรับเหมาได้รับอานิสงส์ที่ดี เพราะจะมีงานออกมามากขึ้น
นอกจากนี้ การที่ STEC มี Backlog และอัตรากำไรที่ดีกว่าคาด จึงทำให้บริษัทอยู่ระหว่างการทบทวนเป้าหมายราคาใหม่อีกครั้ง จากเป้าหมายเดิมที่ให้ไว้ 8.10 บาท โดยอัตรากำไรขั้นต้นไตรมาส 2/53 ถือว่าโดดเด่นมากขึ้นมาอยู่ที่ 10.4% จาก 8.4% ในช่วง 1Q10 และ 3.9% ในช่วง 2Q09
แม้ในงวดดังกล่าวมีรายได้ลดลง 12%q-q และ 46%y-y เนื่องจากมี backlog ที่ลดลง และการใช้จ่ายในช่วง 1H10 ของภาครัฐที่ล่าช้าออกไป นอกจากนี้ยังมีสาเหตุมาจากนโยบายใหม่ของผู้บริหารที่เน้นโครงการที่มีอัตรากำไรสูงอีกด้วย แต่ด้วยงานใหม่ที่เข้ามาซึ่งมีมาร์จิ้นที่ค่อนข้างมาก ขณะที่งานเก่ามาร์จิ้นต่ำกำลังจะหมดไป ทำให้เรายังมีมุมมองเชิงบวกกับหุ้น STEC
ปัจจุบันเราการประมาณการรายได้สำหรับ STEC ในปีนี้ดูเหมือนว่าจะสูงเกินไป แต่ก็น่าจะถูกชดเชยโดยสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้นที่ค่อนข้างระมัดระวังของเราที่ 5.3% ด้งนั้น จึงยังคงเชื่อว่าประมาณการกำไรของ STEC ปีนี้จะยังคงเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับผลการดำเนินงานทั้งปีที่จะออกมา แต่อย่างไรก็ตาม เราอาจจำเป็นต้องปรับประมาณการกำไรปี 54 เนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้นในปีหน้ายังคงอยู่ที่ระดับเพียง 5.5% เท่านั้น
และถึงแม้ว่าการเป็นผู้รับเหมาในประเทศไทยจะเป็นธุรกิจที่มีความเสี่ยง เนื่องจากให้อัตรากำไรสุทธิต่ำ(5-7%) และมีกำไรที่ไม่แน่นอน แต่ยังคงแนะนำ “ซื้อ" STEC เนื่องจากได้รับประโยชน์จากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว และมีกำไรที่ชัดเจนไปจนถึงปี 54 ปัจจุบัน STEC ซื้อขายที่ระดับ price-to-backlog ratio ที่ 0.49 เท่าในปีนี้ และ 0.34 เท่าในปีหน้าเทียบกับในอดีตที่ 0.34-0.78 เท่า เรายังคงแนะนำ “ซื้อ" แต่จะทบทวนประมาณการและราคาเป้าหมายใหม่
ขณะที่บทวิเคราะห์ บล.ไอร่า เชื่อว่า แนวโน้มผลประกอบการของ STEC ใน 2H/53 เชื่อว่ามีแนวโน้มดีขึ้นภายหลังเริ่มรับรู้รายได้จากโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วงสัญญา 2 เข้ามา คาดประมาณ 2,000 ล้านบาท ขณะที่ 1H/53 ส่วนใหญ่รับรู้รายได้จากงานเดิมๆ ขณะที่ความสามารถในการทำกำไรยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดีต่อเนื่อง โดยรวมคาดทั้งปีนี้มีรายได้งานก่อสร้าง 10,886 ล้านบาท ลดลง 9% และ Gross Profit Margin เฉลี่ย 8% เพิ่มขึ้นจาก 4.88% เมื่อปี 52 และคาดกำไรสุทธิ 531 ล้านบาท เติบโตโดดเด่น คาดเงินปันผลตามนโยบาย 40% หรือ 0.18 บาท/หุ้น
ส่วนแนวโน้มปี 54 เติบโตต่อเนื่องทั้งรายได้และกำไรสุทธิ คาดรายได้งานก่อสร้าง 13,102 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% หลักๆ จากโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินสัญญา 4 และสายสีม่วงสัญญา 2 ที่เข้ามาเต็มที่ประมาณ 7,000-8,000 ล้านบาท แม้ Gross Profit Margin ทั้ง 2 โครงการจะไม่สูงนัก แต่ STEC สามารถควบคุมต้นทุนต่างๆ ได้และทำให้ความสามารถในการทำกำไรปรับตัวดีขึ้น
จากฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง มีฐานะเป็น Net Cash ทำให้มีอำนาจในการต่อรองกับ Supplier ซึ่งช่วยควบคุมต้นทุนวัสดุก่อสร้างต่างๆ ได้ และ Facility จากโครงการ Airport Link รวมถึงเครื่องจักรอุปกรณ์ที่มี สามารถนำมาใช้ได้กับทั้งโครงการรถไฟฟ้าทั้ง 2 สาย ทำให้คาด Gross Profit Margin ในปีนี้เฉลี่ยมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 8.13% และคาดกำไรสุทธิ 710 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34% และคาดเงินปันผล 0.24 บาท (คำนวณภายใต้นโยบาย 40%)
และจากผลงานปี 54 ที่คาดยังสามารถเติบโตต่อเนื่อง รวมถึงได้รับผลดีจากการทยอยเปิดประมูลโครงการรถไฟฟ้าไม่ต่ำกว่า 3 สาย ได้แก่ รถไฟชานเมืองสายสีแดง บางซื่อ—รังสิต รถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้มและเขียวอ่อน เป็นต้น รวมถึงโครงการต่อเนื่องจากกลุ่มลูกค้าเดิม เช่น งานโครงสร้างเหล็ก (Pre Assembly Module) Phase 2 และงานก่อสร้างโรงไฟฟ้าจะนะ และวังน้อย เป็นต้น ซึ่งในเบื้องต้นคาดทำให้ Backlog ของ STEC มีโอกาสทำ New High อีกรอบ
นักวิเคราะห์ บล.พัฒนสิน กล่าวว่า หุ้น STEC เป็น Top picks ในกลุ่มรับเหมาฯ เนื่องจากอานิสงส์ของแผนกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐ โดยคาดว่าฐานะการเงินที่แข็งแกร่งของ STEC จะสามารถรองรับมูลค่างานใหม่ได้โดยไม่จำเป็นต้องเพิ่มทุนในช่วงปี 54-55 พร้อมทั้งปรับราคาพื้นฐานเป็นราคาปี 2011F ที่ 9.40 บาท จากเดิมราคาที่ 6.90 บาท