นางพรพรรณ เตชรุ่งชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บมจ.อาร์เอส(RS)กล่าวว่า บริษัทคาดว่าปีนี้จะมีรายได้ 2.9 พันล้านบาทและมีกำไรสุทธิ หลังจากครึ่งปีแรกทำกำไรสุทธิได้แล้ว 197 ล้านบาท พลิกจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 30 ล้านบาท ซึ่งในปีนี้บริษัทดำเนินการล้างขาดทุนสะสมหมดในงบรวมตั้งแต่ไตรมาส 2/53 คาดว่าน่าจะสามารถจ่ายเงินปันผลได้ตามนโยบายไม่น้อยกว่า 50% ของกำไรสุทธิ
สำหรับผลประกอบการไตรมาส 3/53 คาดว่ารายได้จะทำได้ใกล้เคียงกับไตรมาส 1/53 ที่มีรายได้กว่า 400 ล้านบาท แม้ว่าจะเป็นช่วงโลว์ซีซั่นในช่วงหน้าฝนทำให้งานอีเว้นต์และโชว์บิซลดลง เนื่องจากภาพรวมธุรกิจบันเทิงกำลังกลับมาคึกคักอีกครั้ง รวมทั้งยังมีรายได้และกำไรจากการบริการลิขสิทธิ์ฟุตบอลโลกที่จะบันทึกในไตรมาสนี้
นางพรพรรณ กล่าวว่า จากความสำเร็จของแคมเปญฟุตบอลโลก 2010 บริษัทสามารถสร้างรายได้กว่า 600 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 110 ล้านบาท โดย 80% ของกำไรรับรู้ไปแล้วในไตรมาส 2/53 เหลืออีก 20% จะมารับรู้ในไตรมาส 3/53 อีกกว่า 20 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ภาพรวมครึ่งปีหลังอาจจะเป็นไปได้ยากที่จะเติบโตได้มากเท่าครึ่งปีแรกที่มีรายการพิเศษจากฟุตบอลโลก แม้ธุรกิจบันเทิงจะดีขึ้น แต่บริษัทก็มีการผลักดันตลาดด้วยการปรับเพิ่มราคาค่าบริการดาวน์โหลดซุปเปอร์เหมาจาก 20 บาท เป็น 29 บาท และ ริงแบ็คโทน จาก 20 บาท เป็น 40 บาท
แม้ว่าช่วงแรกตลาดจะช็อคไปบ้างและการดาวน์โหลดลดลง แต่เชื่อว่าระยะยาวจะส่งผลดีต่อบริษัทมากกว่า โดยบริษัทมองว่าธุรกิจดาวน์โหลดคอนเทนท์ในปีหน้ามีโอกาสจะเติบโตก้าวกระโดดถึง 40-50% หลังจากมีเทคโนโลยี 3G เข้า ซึ่งจะช่วยให้คอนเทนท์มีความหลากหลาย เพราะคาดว่าจะมีคอนเทนท์ใหม่ ๆ เพิ่มมากขึ้น
นอกจากนี้ บริษัทยังหวังว่าธุรกิจทีวีดาวเทียมจะเป็นอีกธุรกิจหนึ่งที่สร้างรายได้เข้ามาให้กับบริษัทได้เพิ่มขึ้น โดยบริษัทมีแผนจะเปิดทีวีดาวเทียมเพิ่มอีก 2 ช่องในไตรมาส 4/53 คาดว่าจะใช้เงินลงทุนในปีนี้ 50 ล้านบาท ส่วนปีหน้าก็จะลงทุนเพิ่มอีก 50 ล้านบาท รูปแบบรายการของทั้ง 2 ช่องในเบื้องต้นจะแตกต่างจาก 2 ช่องเดิมที่มีอยู่ ซึ่งเป็นรายการเพลง
นางพรพรรณ กล่าวว่า การเพิ่มขึ้นของทีวีดาวเทียมเป็น 4 ช่อง น่าจะทำให้สัดส่วนรายได้จะเพิ่มเป็น 20-25% จากปัจจุบันอยู่ที่ไม่ถึง 5% โดยขณะนี้ทีวีดาวเทียม 2 ช่องเดิมได้รับความนิยมค่อนข้างมากในกลุ่มเป้าหมาย 15-24 ปี ซึ่งทำให้บริษัทมีมาร์เก็ตแชร์ในกลุ่มนี้เป็นอันดับ 1 หลังจากทำมาเป็นเวลา 7 เดือน ซึ่งเร็วกว่าเดิมที่คาดว่าอาจจะต้องใช้เวลาเป็นปี
ส่วนธุรกิจภาพยนตร์ครึ่งปีแรกมีหนังเข้าฉาย 2 เรื่อง และครึ่งปีหลังจะมีอีก 2 เรื่อง แต่ในอนาคตบริษัทมีแผนจะลดการผลิตลงเหลือปีละไม่เกิน 2-3 เรื่อง จากเดิมที่ผลิตปีละ 4-5 เรื่อง เนื่องจากความนิยมมีน้อยลง