BIGC คาดปี 53 กำไรโตกว่า 10% ยอดขายโต 3%,รับเงินประกันราชดำริ 413 ลบ.

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday August 19, 2010 14:36 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นางสาวรำภา คำหอมรื่น รองประธานฝ่ายบัญชีและการเงิน บมจ.บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์(BIGC)กล่าวว่า บริษัทคาดว่าในปีนี้กำไร จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% จากปีก่อน ขณะที่คาดว่ายอดขายจะเติบโตประมาณ 3% จากเป้าเดิมที่ตั้งไว้ที่ 3-5%

ถึงแม้ว่าห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี สาขาราชดำริ ต้องปิดบริการในระหว่างช่วงที่มีการชุมนุมทางการเมือง และมีการปรับปรุงหลังจากได้รับความเสียหายจากเหตุไฟไหม้เมื่อวันที่ 19 พ.ค.53 ที่ผ่านมา แต่บริษัทก็คาดว่าจะได้รับเงินชดเชยจากการประกันภัยกลับมาทั้งจำนวนประมาณ 413 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นความเสียหายของสินทรัพย์ 276 ล้านบาท ความเสียหายของสินค้าทั้งอุปโภคและบริโภค 95 ล้านบาท และความเสียหายจากการที่ธุรกิจต้องหยุดชะงัก 42 ล้านบาท

ทั้งนี้ เงินชดเชยดังกล่าวจะครอบคลุมตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ตั้งแต่วันที่ 19 พ.ค. จนถึงวันที่ 30 มิ.ย. และบริษัทฯคาดว่าบิ๊กซี สาขาราชดำริจะสามารถกลับมาเปิดบริการได้ในช่วงไตรมาส 1/2554 โดยขณะนี้อยู่ในระหว่างการซ่อมแซม

ประกอบกับ ยอดขายสินค้าในช่วงเทศกาลฟุตบอลโลกที่ผ่านมาปรับตัวดีขึ้นเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะยอดขายโทรทัศน์ หลังจากที่บริษัทได้จัดกิจกรรมกระตุ้นยอดขาย ขณะที่ในส่วนของสินค้าอาหารก็ปรับเพิ่มขึ้น รวมทั้งยอดขายสาขาในต่างจังหวัดก็เพิ่มขึ้นอย่างมากเช่นกัน หลังจากปีที่แล้วยอดขายไม่ค่อยดีนัก ทั้งนี้ยังคาดว่ายอดขายในครึ่งปีหลังจะกลับมาเติบโตได้อย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในสาขาต่างจังหวัด

ในส่วนของงบประมาณการลงทุนในปีนี้บริษัทฯตั้งไว้ที่ 2,300 ล้านบาท โดยในช่วงครึ่งปีแรกใช้ไปแล้ว 500 ล้านบาท ในการก่อสร้างบิ๊กซี สาขามหาชัย และที่เหลืออีก 1,800 ล้านบาทจะใช้ในการขยายสาขาไฮเปอร์มารค์เก็ตเพิ่มเติมอีกประมาณ 2-3 สาขาภายในปีนี้ ซึ่งจะทำให้ทั้งปีเป้าหมายในการเปิดสาขาไฮเปอร์มาร์เก็ตเข้าเป้าที่คาดว่าจะเปิดได้ 3-4 สาขาต่อปี โดยคาดว่าจะเปิดในภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จากปัจจุบันมีสาขาทั้งหมด 69 สาขา

พร้อมกันนั้น ในเร็ว ๆ นี้จะมีการเปิดบิ๊กซีจูเนียร์เพิ่มอีก 1 สาขา หลังจากที่ได้เปิดสาขาแรกไปแล้วที่จังหวัดสระบุรี และจะมีการเปิดสาขามินิบิ๊กซีเพิ่มขึ้นเป็น 15 สาขาภายในสิ้นปีนี้ จากปัจจุบันที่มีอยู่ 11 สาขา และร้านขายยา Pure จะเปิดเพิ่มเป็น 29 สาขา จากปัจจุบันที่ 25 สาขา

สำหรับกรณีที่มีข่าวว่าบริษัทสนใจจะเข้าไปซื้อกิจการของคาร์ฟูร์ นางสาวรำภา กล่าวว่า ในขณะนี้ยังไม่ขอออกความเห็น ซึ่งหากมีความสนใจที่จะเข้าซื้อจริงก็ควรจะเป็นเรื่องของทางคณะกรรมการบริษัทแม่มากกว่า


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ