นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ ปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะกรรมการบมจ. การบินไทย (THAI) เปิดเผยถึงกรณีที่ผู้ถือหุ้นใหญ่ของไทเกอร์ แอร์เวย์สขายหุ้นออกมาในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ว่า อาจทำให้คณะกรรมการและผู้บริหารของการบินไทยต้องทบทวนการร่วมทุนจัดตั้งสายการบินไทยไทเกอร์แอร์อีกครั้งว่าจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินของสายการบินใหม่ที่ร่วมทุนหรือไม่ เพราะในการทำข้อตกลงร่วมทุนสายการบินไทยไทเกอร์แอร์ระหว่างการบินไทยและไทเกอร์แอร์นั้นถือว่ายังไม่สิ้นสุด เป็นเพียงการเซ็นบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) และยังสามารถทบทวนข้อตกลงกันได้ ซึ่งต้องขอดูรายละเอียดการขายหุ้นที่สิงคโปร์ที่ชัดเจนอีกครั้งว่ามีผลต่อการจัดตั้งสายการบินไทยไทเกอร์แอร์หรือไม่
อย่างไรก็ตาม การบินไทยยังมีความจำเป็นที่จะต้องเข้าไปชิงส่วนแบ่งตลาดโลว์คอสต์ในภูมิภาค ซึ่งในปัจจุบันแอร์เอเชียครองส่วนแบ่งในตลาดนี้มากที่สุดและนับวันจะขยายตัวมากยิ่งขึ้น ดังนั้น ไม่ว่าดีลไทยไทเกอร์แอร์จะยังอยู่หรือกลายเป็นสายการบินอื่นมาแทนการบินไทยก็จำเป็นต้องทำตลาดนี้อย่างแน่นอน
"แม้ว่าการบินไทยจะถือหุ้นในสายการบินนกแอร์อยู่ แต่นกแอร์เป็นโลว์คอสต์แอร์ไลน์ที่วางตำแหน่งตัวเองเป็นพรีเมียม การบินไทยจึงจำเป็นต้องมีคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อที่จะแข่งขันกับแอร์เอเชียให้ได้"นายสถิตย์กล่าว
ด้านนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคม เปิดเผยกรณีความคืบหน้าให้การบินไทยชี้แจง 7 ข้อในการจัดตั้งสายการบินไทย ไทเกอร์ว่า ตนได้รับหนังสือชี้แจง เมื่อวันที่ 19 ส.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งพบว่ายังมีบางประเด็นที่ยังไม่ชัดเจน เช่น แนวทางการเพิ่มทุนสายการบินนกแอร์ จากเดิมการบินไทยถือ 39% เพิ่มเป็น 49% นั้น ยังไม่สามารถเพิ่มทุนได้ แต่ทำไมจึงมีการจัดตั้งสายการบินใหม่
นอกจากนี้ ยังกังวลเรื่องสิทธิการบินของไทยว่าจะได้รับผลกระทบหรือไม่ อีกทั้งล่าสุดมีข่าวการขายหุ้นของไทเกอร์แอร์ ซึ่งสัปดาห์หน้าจะเชิญนายอำพน กิตติอำพน ประธานกรรมการบริษัท การบินไทย รวมถึงผู้บริหารมาชี้แจงนายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม