นายสุรนันทน์ วงศ์วิทยกำจร กรรมการคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กทช.)เปิดเผยว่า ภายในวันที่ 31 ส.ค.53 นี้ ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่จะต้องเปิดให้บริการคงสิทธิเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่(นัมเบอร์พอร์ต)อย่างเป็นทางการ เพราะได้ผ่อนผันให้เตรียมความพร้อมมา 1 ปีแล้ว ทั้งนี้เพื่อคุ้มครองสิทธิและประโยชน์ของประชาชนผู้ใช้บริการ
กทช.ระบุว่า หากผู้ให้บริการไม่ดำเนินการตามกำหนด กทช.จำเป็นจะต้องใช้มาตรการบังคับทางการปกครอง โดยจะแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณามูลค่าความเสียหายจากเหตุที่ไม่สามารถเปิดให้บริการ เพื่อกำหนดโทษปรับต่อผู้ให้บริการ ซึ่งมีโทษปรับขั้นต่ำ 20,000 บาทต่อวัน
ทั้งนี้ นับจากกทช.ออกประกาศหลักเกณฑ์บริการคงสิทธิเลขหมายพร้อมตัดสินข้อข้องใจของผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่โดยไม่ชักช้า ทั้งได้ผ่อนผันการเปิดให้บริการมาให้ถึง 1 ปี ซึ่งน่าจะเกินพอสำหรับการจัดตั้งบริษัทกลางและติดตั้งระบบโครงข่ายสำหรับให้บริการ เพราะนับตั้งแต่ออกประกาศหลักเกณฑ์มาตั้งแต่เดือนส.ค.52 ได้ระบุไว้ชัดเจนอยู่แล้วว่าให้ผู้ให้บริการทำระบบข้อมูลกลาง ซึ่งหากเริ่มดำเนินการตั้งแต่แรกอาจจะเปิดให้บริการได้ก่อนกำหนดด้วยซ้ำ
"ที่ผ่านมา กทช.ได้ตั้งคณะกรรมการกำกับการดำเนินการให้เป็นไปตามประกาศ กทช. ตั้งแต่เดือน มิ.ย.เป็นต้นมา ซึ่งมีการประชุมเร่งรัดติดตามงานทุกสัปดาห์ และผู้ให้บริการก็ทำงานกันอย่างเต็มที่ หากไม่พร้อมเปิดให้บริการจริงๆ ต้องมีเหตุผลที่ยอมรับได้ และต้องประกาศให้ประชาชนได้รับทราบโดยทั่วกันว่าจะเปิดให้บริการได้เมื่อไร แต่ส่วนตัวคิดว่าผู้ให้บริการน่าจะเห็นแก่ประโยชน์ของประชาชนผู้ใช้บริการเปิดให้บริการคงสิทธิเลขหมาย หากวันที่ 31 สิงหาคม 2553 ผู้ให้บริการยังไม่เปิดให้บริการคงสิทธิเลขหมาย กทช.จำเป็นต้องดำเนินการตามมาตรการปกครองอย่างแน่นอน" กรรมการกทช.กล่าว
อนึ่ง การให้บริการคงสิทธิเลขหมาย คือผู้ใช้บริการสามารถยื่นขอเปลี่ยนเครือข่ายผู้ให้บริการได้ทั้งโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบรายเดือนและแบบเติมเงิน โดยเสียค่าธรรมเนียมครั้งละไม่เกิน 99 บาท ซึ่งจะต้องดำเนินการโอนย้ายให้แล้วเสร็จภายใน 3 วันทำการ จะปฏิเสธคำขอโอนย้ายไม่ได้ ยกเว้นเป็นเลขหมายที่ได้มาโดยมิชอบด้วยกฎหมายหรือเพื่อประโยชน์ในการรักษาความมั่นคงของชาติ หรือเลขหมายที่อยู่ระหว่างดำเนินคดีหรืออายัด หรือเลขหมายนั้นไม่ใช่ของผู้ขอโอนย้าย หรือถูกยกเลิกหรือระงับให้บริการ หรืออยู่ระหว่างการโอนย้าย หรือเพราะเอกสารหลักฐานไม่ครบถ้วน หรือข้อมูลของผู้ใช้บริการในระบบไม่ตรงกัน หรือค้างชำระค่าบริการผู้ให้บริการรายเดิมเป็นต้น