นางประพีร์ สรไกรกิตติกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.แพรนด้า จิวเวลรี่(PRANDA)ปรับเป้าหมายรายได้จากการขายเติบโต 12% จากเดิม 10% หลังจากช่วง 6 เดือนแรกเติบโตแล้วกว่า 15% ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ และคาดว่าครึ่งปีหลังยังสามารถทำยอดขายได้ดีต่อเนื่อง โดยเฉพาะเป็นฤดูกาลขายของทั่วโลก
อย่างไรก็ดี ในงวด 6 เดือนแรกบริษัทขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากค่าเงินบาทเทียบกับเงินยูโรและเงินปอนด์แข็งค่าขึ้นอย่างมาก ทำให้กำไรสุทธิลดลง แต่ทั้งปีคาดจะปรับตัวเข้าสู่ฐานปกติ โดยบริษัทวางแผนป้องกันการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนด้วยการทำประกันความเสี่ยงไว้แล้ว
บริษัทตั้งเงินลงทุนในปีนี้ราว 300 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นลงทุนในประเทศ 200 ล้านบาทเพื่อใช้ในการสร้างโรงงานใหม่ , ซื้อเครื่องจักรและขยายธุรกิจเพิ่มเติม โดยแหล่งเงินจะมาจากเงินกู้ 150 ล้านบาท ซึ่งจะกู้เป็นสกุลเงินต่างประเทศทั้งเงินยูโรและเงินปอนด์ลิงเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกแปลี่ยน ส่วนเงินทุนที่เหลือมาจากเงินสดของบริษัท
รวมทั้งจะลงทุน 100 ล้านบาทในการขยายสาขาในจีนและอินเดีย ขณะนี้ในเมืองเซิ่นเจิ้นของจีนมีสาขาร้านค้าของบริษัทเอง 4-5 แห่ง และสาขาย่อย ก็จะมีขยายสาขาไปตามหัวเมืองใหญ่เพิ่มเติม ซึ่งภายใน 1-2 เดือนจะมีการเปิดสาขาใหม่ที่ปักกิ่ง โดยจะเน้นการขยายสินค้าภายใต้แบรนด์ Esse, Merii ที่เป็นแบรนด์เครื่องประดับเทียมที่ได้รับความนิยมจากลูกค้าจีนเป็นอย่างมาก ขณะที่แบรนด์พรีม่าโกลด์นั้น บริษัทกำลังมองหาพาร์ทเนอร์ที่มีร้านค้าจิวเวลรี่ที่มีชื่อเสียงของจีน เพื่อจะได้นำสินค้าไปวางขาย
ส่วนในประเทศอินเดียจะเน้นสินค้าภายใต้แบรนด์พรีม่าอาร์ต ที่ปัจจุบันตัวแทนขายปลีก 2,500 ราย และมีแผนจะขยายให้มากขึ้น รวมทั้ง มีแผนเปิดร้านค้าสาขาของตัวเอง โดยภายใน 4-6 เดือนนี้น่าจะเปิดได้ 1 สาขา พร้อมคาดว่าในปีหน้าจะสาขาเพิ่มเป็นทั้งหมด 3 สาขา
ทั้งนี้ บริษัทยังมีเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนยอดขายจากการขายสินค้าที่เป็นแบรนด์ของตัวเองเพิ่มขึ้นเป็น 50% จากเดิม 30%
นางประพีร์ กล่าวว่า บริษัทได้เตรียมการก่อสร้างศูนย์ออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ รวมถึงสำนักงานใหญ่ของกลุ่มบริษัทแพรนด้า ซึ่งอยุ่บริเวณถนนบางนา-ตราด เพื่อเป็นการรองรับการขยายการผลิตสินค้าภายใต้แบรนด์ ซึ่งมีทิศทางที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าแบรนด์ของกลุ่มบริษัทที่ขณะนี้มีมากกว่า 10 แบรนด์
อนึ่ง ศูนย์ดังกล่าวขณะนี้อยู่ระหว่างออกแบบโครงสร้าง และจะเริ่มก่อสร้างฐานรากได้ภายในสิ้นปี 53 และคาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ภายใน 2 ปี