นายจุมพล เตชะไกรศรี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บมจ.ทีกรุงไทยอุตสาหกรรม(TKT)เปิดผยว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับลูกค้ารายเก่าและรายใหม่เพื่อรับคำสั่งซื้อ(ออร์เดอร์)ชิ้นส่วนรถยนต์อีโคคาร์ ซึ่งหากสามารถสรุปออร์เดอร์ได้ บริษัทก็จะวางแผนการลงทุนซื้อที่ดินและเครื่องจักรเพื่อสร้างโรงงานแห่งใหม่มารองรับคำสั่งซื้อดังกล่าว คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในสิ้นปีนี้ถึงต้นปีหน้า
"กำลังเจรจาอีโคคาร์ค่ายรถทั้งที่เป็นลูกค้าเก่าและใหม่ ลูกค้าเก่าก็จะเป็นโตโยต้า มิตซูบิชิ ซึ่งเป็นลูกค้าหลักของเรามาตลอด ที่เหลือเป็นลูกค้าใหม่ ถ้าสรุปดีลได้ทั้งหมดในสิ้นปีนี้คงต้องพิจารณาขยายการลงทุนในปีหน้าทั้งขยายกำลังการผลิต ซื้อที่ดินเพื่อสร้างโรงงานใหม่ โดยมองพื้นที่ใกล้ลูกค้าโซนตะวันออก"นายจุมพล กล่าว
สำหรับโรงงานเดิมทั้ง 3 แห่ง ที่ถนนกิ่งแก้ว, อ.กบินทร์บุรี และ ถนนสุวินทวงศ์ กำลังผลิตที่มีอยู่ในปัจจุบันสามารถรองรับออร์เดอร์ได้ถึงแค่ในปีหน้าก็จะเต็มกำลังการผลิตแล้ว ดังนั้น หากมีออร์เดอร์อีโคคาร์เข้ามาก็ต้องลงทุนเพิ่ม
"ณ วันนี้ ถ้าต้องลงทุนเพิ่มบริษัทยังมีสภาพคล่อง และยังสามารถกู้แบงก์ได้ในวงเงิน 400-500 ล้านบาท โดยยังไม่ต้องเพิ่มทุน"นายจุลพล กล่าว
อนึ่ง สัดส่วนรายได้หลักของบริษัทราวว 65% มาจากชิ้นส่วนยานยนต์ ขณะที่ 30% เป็นชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้า ส่วนที่เหลือเป็นประเภทแม่พิมพ์และอื่นๆ
นายจุมพล กล่าวถึงผลการดำเนินงานว่า บริษัทคาดว่ากำไรสุทธิปี 53 คงจะสูงกว่าปี 52 ที่มีกำไร 24 ล้านบาท เนื่องจากในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทมีกำไรสุทธิแล้ว 16 ล้านบาท โดยในแงของรายได้น่าจะเติบโตได้ตามภาพรวมอุตสาหกรรมรถยนต์ที่มีประเมินกันว่าจะเติบได้ถึง 50-60% จากปีก่อนที่บริษัทมีรายได้ 868 ล้านบาท และคาดว่ายอดขายในครึ่งปีหลังจะสูงขึ้นราว 5-10% จากครึ่งปีแรกที่ทำได้ 557 ล้านบาท
"รายได้รวมครึ่งปีแรกเรายังโตน้อยกว่าอุตฯยานยนต์ที่โตเกือบ 80% แต่เราโตได้ 60% เนื่องจากชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าโตได้ไม่เท่ายานยนต์ แต่ครึ่งปีหลังเราก็ต้องพยายามเร่งทำออร์เดอร์ในส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าให้มากขึ้น ขณะที่ชิ้นส่วนยานยนต์เราโตตามอุตฯ ได้แน่"นายจุมพล กล่าว
ประกอบกับ บริษัทมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากปีก่อนด้วย ทำให้ช่วยสนับสนุนการเติบโตของรายได้ในปีนี้ เพราะยอดขายในปีนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณการผลิตรถยนต์รุ่นปัจจุบัน ส่วนออร์เดอร์ชิ้นส่วนรถรุ่นใหม่จะมีผลกับรายได้ในปีหน้ามากกว่า
ส่วนในแง่ของกำไรนั้น บริษัทยอมรับว่าเป็นเรื่องที่ยากที่จะทำได้ตามเป้าหมาย 18% ในปีนี้ เนื่องจากในช่วงครึ่งปีแรกมีอัตรากำไรขั้นต้นเพียง 16% ลดลงจากปีก่อนที่อยู่ในระดับ 16.17% แต่บริษัทก็จะพยายามทำทุกทางเพื่อให้ใกล้เคียงเป้าหมายได้มากที่สุด โดยการปรับปรุงเครื่องจักรใหม่และปรับปรุงเทคโนโลยีในการผลิต เพื่อลดต้นทุนและลดอัตราของเสีย รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพโรงงาน
นายจุพล กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทจะใช้ลงทุน 200 ล้านบาทสำหรับซื้อเครื่องจักรใหม่ในโรงงานเดิมที่ถนนสุวินทวงค์ เพื่อขยายกำลังการผลิตทั้งชิ้นส่วนและแม่พิมพ์พลาสติก ซึ่งจะทำให้กำลังการผลิตรวมเพิ่มขึ้นเป็น 1,450 ล้านบาท/ปี จากเดิมอยู่ที่ 1,200 ล้านบาท/ปี โดยในส่วนของแม่พิมพ์ตอนนี้มีออร์เดอร์ในมือรวมมูลค่า 120 ล้านบาท โดยจะเป็นยอดรับรู้รายได้ในครึ่งปีหลังนี้ประมาณ 60 ล้านบาท อีก 60 ล้านบาทจะไปรับรู้ในปีหน้า