ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดบวก 19.61 จุด แต่เทรดซบเซาหลังสหรัฐเผยยอดขายบ้านใหม่ร่วงหนัก

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday August 26, 2010 06:40 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (25 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเข้ามาช้อนซื้อเก็งกำไรหลังจากราคาหุ้นดิ่งลงอย่างหนักในช่วง 4 วันทำการที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นในกรอบที่จำกัดและภาวะการซื้อขายยังคงซบเซา เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงวิตกกังวลเกี่ยวทิศทางเศรษฐกิจ หลังจากสหรัฐเปิดเผยยอดขายบ้านใหม่ที่ร่วงลงอย่างหนักและยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนที่ขยายตัวน้อยกว่าคาด

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ดีดขึ้น 19.61 จุด หรือ 0.20% ปิดที่ 10,060.06 จุด ดัชนี S&P 500 บวก 3.46 จุด หรือ 0.33% ปิดที่ 1,055.33 จุด และดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 17.78 จุด หรือ 0.84% ปิดที่ 2,141.54 จุด

ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 8.14 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นบวกมากกว่าหุ้นลบในอัตราส่วน 1,832 ต่อ 1,167 หุ้น

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเป็นวันแรกในรอบ 4 วันทำการ เนื่องจากนักลงทุนเข้ามาช้อนซื้อเก็งกำไร อย่างไรก็ตาม ภาวะการซื้อขายยังคงซบเซาเพราะตลาดถูกปกคลุมด้วยกระแสความวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ หลังจากทางการสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่ย่ำแย่

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ยอดขายบ้านใหม่เดือนก.ค.ร่วงลง 12.4% มาอยู่ที่ระดับ 276,000 ยูนิตต่อปี ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่กระทรวงพาณิชย์เริ่มรวบรวมข้อมูลยอดการขายบ้านในปี 2506 และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะอยู่ที่ 330,000 ยูนิตต่อปี จากเดือนมิ.ย.ที่ระดับ 315,000 ยูนิตต่อปี

ส่วนราคากลางของบ้านใหม่ในเดือนก.ค.อยู่ที่ระดับ 204,000 ดอลลาร์ ซึ่งลดลง 4.8% จากปีที่แล้ว หรือลดลง 6% จากเดือนมิ.ย.

นายชาร์ลส์ อีแวนส์ ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาชิคาโก กล่าวว่า การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐยังคงตกอยู่ในภาวะที่ไม่แน่นอน เนื่องจากสถานการณ์ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังคงซบเซาและเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัว ซึ่งหากสถานการณ์เศรษฐกิจยังเป็นเช่นนี้ ก็มีความเป็นไปได้ที่เฟดจะใช้นโยบายผ่อนปรนด้านการเงินต่อไป

การแสดงความคิดเห็นของนายอีแวนส์มีขึ้นหลังจากมีรายงานว่ายอดขายบ้านมือสองเดือนก.ค.ของสหรัฐร่วงลงหนักสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 27.2% จากเดือนมิ.ย. มาอยู่ที่ระดับ 3.83 ล้านยูนิตต่อปี ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค.2548 หรือในรอบ 15 ปี และร่วงลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงเพียง 12% เพราะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา และจากการที่นโยบายลดหย่อนภาษีของรัฐบาลหมดอายุลงตั้งแต่วันที่ 30 เม.ย.ปีนี้ นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากรายงานที่ว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน หรือ สินค้าที่มีอายุการใช้งานนานกว่า 3 ปีของสหรัฐ เพิ่มขึ้นเพียง 0.3% ในเดือนก.ค. เพราะได้แรงหนุนจากยอดสั่งซื้อเครื่องบินพาณิชย์ที่พุ่งขึ้นแข็งแกร่งถึง 75.9% อย่างไรก็ตาม ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนก.ค.ปรับตัวขึ้นน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะพุ่งขึ้น 2.8%

หากไม่นับรวมยอดสั่งซื้อสินค้าด้านการขนส่งแล้ว ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนก.ค.ของสหรัฐ ร่วงลง 3.8% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงหนักสุดในรอบ 6 เดือน และสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.5%

นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยวันพฤหัสบดี กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และเฟดสาขาชิคาโกจะเปิดเผยดัชนีการผลิตเขตมิดเวสต์เดือนก.ค. ส่วนวันศุกร์ สหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 2 และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนส.ค.


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ