บมจ.ค้าเหล็กไทย(TMT)คาดว่ารายได้ในปีนี้มีโอกาสเติบโตได้ถึง 20% จากปีก่อนมีรายได้ 5,669 ล้านบาท ทะลุเป้าหมายที่ตั้งไว้เดิมที่ 15% เนื่องสัญญาณทุกภาคอุตสาหกรรมปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าปริมาณขายน่าจะเติบโตกว่า 20% จากปี 52 อยู่ที่ 2.4 แสนตัน โดยครึ่งแรกของปี 53 ทำได้แล้ว 1.44 แสนตัน
นายไพศาล ธรสารสมบัติ ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการผู้อำนวยการ TMT กล่าวว่า รายได้ในไตรมาส 3/53 อาจจะทรงตัวหรือชะลอเล็กน้อยจากไตรมาส 2/53 เนื่องจากเป็นช่วงฤดูฝน โดยจะฟื้นตัวขึ้นในช่วงไตรมาส 4/53 ทุกอย่างจะกลับมาเหมือนเดิม และดีต่อเนื่องถึงต้นปี 54
โดยเฉพาะโครงการก่อสร้างต่าง ๆ ก็น่าจะมีมากขึ้น หลังปัญหามาบตาพุดมีทางออกชัดเจนน่าจะทำให้เริ่มเดินหน้าโครงการได้ในช่วงปลายไตรมาส 3/53 ถึงต้นไตรมาส 4/53 รวมทั้งภาคเกษตรปรับตัวดีขึ้นก็จะส่งผลดีต่อการใช้เหล็กในเครื่องจักรกลเกษตร
ขณะที่ในด้านของราคาขายในประเทศในช่วงจากนี้ไปจนถึงสื้นปี 53 คาดว่าจะปรับขึ้นได้ราว 10% จากปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 22-23 บาท/กิโลกรัม ซึ่งการปรับราคาขึ้นมาก็ไม่ได้หวือหวามาก แต่เป็นไปตามต้นทุนที่สูงขึ้น
นายไพศาล กล่าวว่า บริษัทคาดว่าอัตรากำไรเฉลี่ยในปีนี้น่าจะสูงกว่าปีก่อนที่อยู่ในระดับ 9% แม้ว่าช่วงไตรมาส 1/53 จะอยู่ที่ระดับ 7.8% และสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดดเป็น 12% ในไตรมาส 2/53 เนื่องจากมีวัตถุดิบต้นทุนต่ำ แต่ในช่วงไตรมาส 3/53 อัตรากำไรอาจจะลดลงมาอยู่ที่ระดับใกล้เคียงไตรมาสแรก และจะฟื้นตัวในไตรมาส 4/53
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้บริษัทได้ปรับปริมาณสต็อกมาเป็น 60 วันจากเดิม 30 วัน ทำให้ต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้นประมาณ 700 ล้านบาทต่อปี ซึ่งมีผลกระทบกับอัตรากำไรขั้นต้นเล็กน้อย โดยปริมาณสต็อกขณะนี้อยู่ที่ 5 หมื่นตัน จากเดิม 2.5-3.0 หมื่นตัน ทั้งนี้เพื่อลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของผู้ผลิตวัตถุดิบในการป้อนสินค้าที่ไม่สม่ำเสมอ จึงจำเป็นต้องแก้ไขสถานการณ์ แต่หากปัญหานี้คลี่คลายลงในทางที่ดีขึ้น บริษัทก็จะปรับสต็อกกลับมาสู่ระดับเดิม