นายสุรพล ขวัญใจธัญญา รองประธานกรรมการบริหาร บล.คันทรี กรุ๊ป(CGS)เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อเข้าซื้อกิจการบริษัทหลักทรัพย์ในต่างประเทศ คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในปีนี้ หลังจากที่บริษัทบรรลุข้อตกลงในการเข้าซื้อหุ้น บลจ.เอ็ม เอฟ ซี(MFC)ในสัดส่วน 25% และจะทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์หุ้นอีกบางส่วน เพื่อเตรียมพร้อมรับมือการเปิดเสรีธุรกิจหลักทรัพย์ในปี 55
ทั้งนี้ บริษัทเจรจากับบริษัทหลักทรัพย์ทั้งในฮ่องกง ไต้เหวัน และ เกาหลี แต่จะเลือกซื้อกิจการเพียง 1 แห่งและต้องการถือครองสัดส่วนถือหุ้นมากกว่า 50% เพื่อมีอำนาจในการจัดการและบริหาร แต่เชื่อว่าจะไม่ได้ใช้เงินจำนวนมากนัก เนื่องจากกิจการที่ศึกษาและเจรจาอยู่เป็นกิจการไม่ใหญ่มาก
"การเข้าซื้อกิจการในต่างประเทศและ บลจ.เอ็มเอฟซี เป็นการเตรียมความพร้อมของ บล.คันทรี กรุ๊ป ในการเติบโตในอนาคต" นายสุรพล กล่าว
เช้านี้ CGS แจ้งผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่าบริษัทเข้าซื้อหุ้นสามัญ MFC จำนวนไม่เกิน 30,096,499 หุ้นในราคาหุ้นละ 13.20 บาท โดยมีมูลค่ารวมเท่ากับ 397,273,786.80 บาท โดยวิธีการทำคำเสนอซื้อหุ้นบางส่วน (Partial Tender Offer) คาดว่าจะเกิดขึ้นในไตรมาส 4/53 โดยบริษัทจะใช้แหล่งเงินทุนจากเงินสดคงเหลือของบริษัท และ/หรือ เงินทุนหมุนเวียนของบริษัท
นายสุรพล กล่าวว่า บริษัทมีแหล่งเงินทุนพร้อมสำหรับการซื้อกิจการเข้ามาเพิ่ม โดยจะมาจากเงินทุนหมุนเวียนที่มีอยู่ราว 1.4-1.5 พันล้านบาท และเงินส่วนเกินสภาพคล่อง(NCR)ที่มีอยู่ 2.6 พันล้านบาท นอกจากนั้น ยังมีเงินจากพอร์ตลงทุนอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งบริษัทจะนำเงินจากแหล่งเงินดังกล่าวนี้ไปใช้ในการซื้อหุ้น MFC คาดว่าหากผู้ลงทุนรายย่อยนำหุ้นมาเสนอขายครบ 25% ในราคา 13.20 บาท ต้องใช้เงินประมาณ 400 ล้านบาท
หากบริษัทเข้าซื้อหุ้น MFC ได้ตามจำนวนที่ยื่นทำเทนเดอร์ฯ ก็จะทำให้สัดส่วนการถือหุ้นเพิ่มเป็น 49.99% และจะสามารถรับรู้กำไรจาก MFC สูงถึงปีละ 50 ล้านบาท แต่หากถือหุ้น 24.9% ก็จะรับรู้กำไรปีละ 20 ล้านบาท และในปี 54 บริษัทคาดว่าจะมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มเป็น 10% จาก 6-7% ในปัจจุบัน
สำหรับในปี 53 บริษัทคาดว่าในครึ่งปีหลังจะกลับมีกำไร จากครึ่งปีแรกขาดทุน 32.44 ล้านบาท และทั้งปีก็น่าจะมีกำไรสุทธิมากกว่าปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 19.67 ล้านบาท รวมทั้งรายได้ในปีนี้ก็จะเติบโต 20-30% จากปีก่อน เนื่องจากครึ่งปีหลัง ตั้งแต่เดือนก.ค.ตลาดเหลักทรัพย์มีมูลค่าซื้อขายต่อวันเพิ่มขึ้นเป็น 3-4 หมื่นล้านบาท จากครึ่งปีแรกอยู่ที่ 2 หมื่นล้านบาท