นายศิริวัฒน์ วงศ์จารุกร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. เอ็ม เอฟ อี ซี (MFEC)ผู้ประกอบธุรกิจให้คำปรึกษา พัฒนาและวางระบบคอมพิวเตอร์และเครือข่ายงานเทคโนโลยีสารสนเทศ กล่าวว่า ในปี 53 บริษัทฯ คาดว่าจะมีรายได้ใกล้เคียงปีก่อนที่มีรายได้ 2.7 พันล้านบาท โดยเป็นการเติบโตตามตลาดไอทีที่ขยายตัวต่อเนื่อง
ปัจจุบันบริษัทฯ มีงานในมือ (Backlog) ประมาณ 1.5 พันล้านบาท จะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ประมาณ 1 พันล้านบาท และบริษัทยังมีแผนเข้าประมูลงานใหม่อย่างต่อเนื่องทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชนในช่วงที่เหลือของปีอีกราว 900 ล้านบาทถึง 1 พันล้านบาท โดยกลุ่มลูกค้าหลักของบริษัทฯ อยู่ในภาคเอกชนประมาณ 60- 65% ส่วนอีก 35-40% เป็นภาครัฐบาล
อย่างไรก็ตาม การใช้กลยุทธ์พัฒนา IP ของตัวเองลงสู่ตลาดอย่างต่อเนื่องจะทำให้อัตรากำไรขั้นต้น (margin) ของบริษัทฯ ปรับตัวดีขึ้น ซึ่งจะสะท้อนให้ผลประกอบการเติบโตในทิศทางเดียวกัน ซึ่งจะเห็นได้จากในไตรมาสที่ 2/53 บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้นมาก
สำหรับแนวโน้มธุรกิจในครึ่งหลังของปี 53 มีทิศทางขยายตัวโดดเด่นต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก โดยส่วนหนึ่งมาจากในช่วงครึ่งปีหลังปกติธุรกิจจะเติบโตมากกว่าครึ่งปีแรก ประกอบกับสถานการณ์การเมืองในประเทศสงบลง ส่งผลให้ความมั่นใจในการลงทุนต่างๆ เพิ่มมากขึ้น รวมทั้งการลงทุนด้านระบบคอมพิวเตอร์และเครือข่ายงานเทคโนโลยีสารสนเทศของทั้งภาครัฐและเอกชน ทำให้มีงานวางระบบสารสนเทศเพิ่มเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องให้ผลประกอบการของบริษัทฯ ขยายตัวในทิศทางเดียวกัน
การขยายธุรกิจในครึ่งปีหลังนี้บริษัทฯยังให้ความสำคัญกับการเร่งขยายผลิตภัณฑ์และการให้บริการให้หลากหลายสามารถรองรับกับความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบวงจรแบบ One Stop Service เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน ทำให้สามารถปกป้องตลาดและขยายฐานลูกค้าไปในเวลาเดียวกัน ท่ามกลางธุรกิจที่คาดว่าจะมีการแข่งขันอย่างรุนแรง หลังเปิดการค้าเสรีตามสนธิสัญญาอาฟต้า
ทั้งนี้ การเพิ่มความหลากหลายให้กับผลิตภัณฑ์ หรือการเพิ่ม Portfolio ของ Product หรือโซลูชั่น ให้มีความสมบูรณ์ขึ้นนั้น MFEC ยังใช้กลยุทธ์พัฒนาสินค้าที่เป็นทรัพย์สินทางปัญญาของตัวเอง (Intellectual Property หรือ IP ของ MFEC) ลงสู่ตลาดมากขึ้นต่อเนื่องจากต้นปีที่ผ่านมา
รวมทั้งจะให้ความสำคัญกับการร่วมมือกับพันธมิตรที่เป็นผู้นำในแต่ละตลาดพัฒนาสินค้าอินโนเวชั่นลงทำตลาดร่วมกัน เพื่อใช้จุดแข็งของกันและกันสนับสนุนให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง ท่ามกลางการแข่งขันที่คาดว่าจะเกิดขึ้นอย่างรุนแรงจากผู้ประกอบการยักษ์ใหญ่ระดับโลกที่ปัจจุบันเข้ามาลงทุนในประเทศไทยและแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มขึ้นทุกที เนื่องจากความร่วมมือที่เกิดขึ้นจะนำไปสู่การพัฒนาสุดยอดเทคโนโลยี ที่มีต้นทุนสินค้าที่ถูกลง สามารถแข่งขันกับคู่แข่งในตลาดได้อย่างคล่องตัว