โบรกเกอร์ แนะนำ"ซื้อ" หุ้นบมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล(MINT)มองว่าแม้ในไตรมาส 2/53 และไตรมาส 3/53 ธุรกิจโรงแรมได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมืองต่อเนื่องกับช่วงโลว์ซีซั่น แต่คาดว่าในไตรมาส 4/53 จะกลับมาฟื้นตัวตามการท่องเที่ยวในช่วง high season รวมทั้งการรับรู้รายได้จากเรสสิเดนซ์โครงการ St.regis ที่จะโอนในเดือน ธ.ค.53
มุมมองต่อ MINT ยังค่อนข้างดี เนื่องจากมีความหลากหลายของธุรกิจ และธุรกิจโรงแรมมีมาร์จิ้นที่ค่อนข้างสูง ทำให้ยังเป็นหุ้นที่น่าสนใจลงทุน แม้กำไรในครึ่งแรกคิดเป็นเพียง 42.4% จากประมาณการทั้งปี แต่กำไรทั้งปี 53 จะยังเติบโต 14% จากปีก่อน หรือมีกำไรสุทธิ 1.6 พันล้านบาท และมีรายได้ เติบโต 15% จากปีก่อนหรือ 2 หมื่นล้านบาท
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย (บาท) บล.เอเซียพลัส ซื้อ 14.05 บล.กสิกรไทย ซื้อ 14.20 บล.ฟิลลิป ซื้อ 13.80 บล.ไทยพาณิชย์ ซื้อ 13.70 บล.ทิสโก้ ซื้อ 13.50 บล.ไอร่า ซื้อ 13.10
นายเอกภาวิน สุนทราภิชาติ นักวิเคราะห์ บล.ไอร่า แนะนำ "ทยอยซื้อสะสม"หุ้น MINT มองว่าผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในไตรมาส 2/53 ที่ได้รับผลกระทบการชุมนุมทางการเมือง ทำให้ธุรกิจของบริษัท โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรมมียอดการเข้าพักลดลง
และแม้จะมองว่าในไตรมาส 3/53 ผลกระทบดังกล่าวก็ยังมีอยู่ ทำให้การฟื้นตัวยังไม่ดีนัก เพราะการกลับมาเปิดให้บริการโรงแรมโฟร์ซีซั่น กรุงเทพ จำเป็นต้องใช้โปรโมชั่น ลด แลก แจก แถม เพื่อเชิญชวนให้นักท่องเที่ยวกลับมาใช้บริการ ทำให้คาดอัตราค่าห้องพัก(ADR)ปรับตัวลดลงประมาณ 5-8% จากงวดปีก่อน แม้อัตราการเข้าพัก(Occ)ในเดือน ก.ค.53 จะกลับมาฟื้นตัวอย่างรวดเร็วเกินกว่าระดับ 40% ในงวดปีก่อนก็ตาม
แต่อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าในไตรมาส 4/53 จะกลับมาพีคตามปกติ และต่อเนื่องไปถคงปี 54 เพราะภายใต้ธุรกิจที่ยังโดดเด่น เราคาดว่ายังมาจากธุรกิจอาหาร ตอบรับความเชื่อมั่นของผู้บริโภค รวมถึงภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว แต่อาจจะยังดึง Bottom line ไม่ได้มากนัก เนื่องจากให้มาร์จิ้นต่ำ แต่ก็เป็นธุรกิจที่มีการเติบโตที่ดีและช่วยบริษัทได้ในช่วงที่ผ่านมา ขณะที่ธุรกิจโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ให้มาร์จิ้นสูงมากกว่า
ด้วยยอดขายคอนโดมิเนียมจำนวน 6 ยูนิต ในส่วนโครงการ St Regis คาดจะเริ่มโอนได้ประมาณ Q4/53 การฟื้นตัวของธุรกิจโรงแรม รวมถึงไตรมาสสุดท้ายของปีจะเป็นช่วง High season ทำให้เราคาดว่าระดับ Occ ในปี 53 จะทรงตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 56% จากครึ่งแรกของปี 53 อยู่ที่ระดับ 51% และรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการเข้าซื้อกิจการโรงแรม Kani Lanka ในศรีลังกา เมื่อส.ค.ที่ผ่านมา
แม้กำไรในครึ่งแรกคิดเป็นเพียง 42.4% จากประมาณการทั้งปี แต่คาดว่ากำไรทั้งปี 53 จะยังเติบโต 14% จากปีก่อน หรือมีกำไรสุทธิ 1.6 พันล้านบาท และมีรายได้เติบโต 15% จากปีก่อนหรือ 2 หมื่นล้านบาท
ภายใต้มุมมองเรา หากไม่มีปัญหาการเมืองในปีหน้า คาดว่าผลประกอบการของบริษัทจะฟื้นตัวอย่างโดดเด่นประมาณ 33% จากประมาณการกำไรในปี 53 มีปัจจัยสนับสนุนหลัก ได้แก่ นอกจากธุรกิจโรงแรมจะฟื้นตัวในปีหน้าแล้วจะมีจำนวนห้องพักเพิ่มขึ้นอีกกว่า 300 ห้องซึ่งหลักๆ มาจาก การเปิดตัวในช่วงต้นปี 54 ของโครงการ St Regis ในส่วนของโรงแรมจำนวน 227 ห้อง และโรงแรมที่มัลดีฟ์ ซึ่งกำหนดเปิดให้บริการปลายปี 53 อีก 80 ห้อง
ยอดขายคอนโดมิเนียม ในโครงการ St Regis ซึ่งผู้บริหารวางเป้าหมายทำยอดขายปีละ 12-20 ยูนิต (ราคาเฉลี่ยยูนิตละประมาณ 100 ลบ.) จากทั้งหมด 53 ยูนิต คาดว่าหากโครงการก่อสร้างเสร็จแล้ว ยอดขายจะเร่งตัวขึ้น จากปัจจุบันมียอดจองแล้วจำนวน 6 ยูนิต และบริษัทยังมีโครงการ ดิ เอสเตท สมุย ปัจจุบันเหลือเหลืออีก 7 ยูนิต ราคาเฉลี่ยยูนิตละประมาณ 5 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นตัวสนับสนุนรายได้อีกแรง คาดว่าจะทำยอดขายได้หากเศรษฐกิจฟื้นตัว โดยเฉพาะจากทางยุโรป
ทั้งนี้ หุ้น MINT ยังต้องมองอย่างระมัดระวังภายใต้ผลประกอบการในปีนี้ที่ลดลงเล็กน้อย 4.2% เป็น 1.6 พันล้านบาท บริษัทอาจจะมีต้นทุนและค่าใช้จ่ายมากกว่าคาด โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายด้าน Pre-opening ของโรงแรมที่มัลดีฟ์และคอนโดมิเนียมในส่วนโครงการ St Regis ส่งผลให้ราคาเหมาะสมถูกปรับลดลงเล็กน้อยจาก 13.30 บาท เป็น 13.10 บาท
บทวิเคราะห์ บล.เอเซียพลัส ระบุว่า หุ้น MINT มีความโดดเด่นจากขยายงานเชิงรุกทั้งอาหาร โรงแรม และที่พักอาศัย แม้ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทจะได้รับผลกระทบจนส่งผลให้โรงแรมโฟรซีซัน ต้องหยุดไป 2 เดือน แต่การที่มีกลยุทธ์เชิงรุกเพื่อหวังดันกำไรเพิ่มขึ้น 20% ต่อปี และด้วยความหลากหลายของธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจอาหาร ถือว่าช่วยบริษัทได้ค่อนข้างมากในช่วงที่ผ่านมา ดังนั้นเราจึงมองว่าหุ้น MINT ยังเป็นหุ้นที่น่าสนใจลงทุนในอนาคต
โดยเฉพาะในส่วนธุรกิจโรงแรมที่จะเพิ่มการลงทุนใหม่ผ่านการลงทุนเองและรับบริหารเพิ่ม นอกจากนี้มีแผนพัฒนาธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจโรงแรมซึ่งให้มาร์จิ้นสูง เช่น ที่พักอาศัย (Residence) และ โครงการสถานพักผ่อนแบบปันส่วนเวลา (Time Share) รวมถึงซื้อกิจการธุรกิจอาหารและโรงแรมในต่างประเทศเพิ่มเติม เพื่อสร้างการเติบโตให้กับผลการดำเนินงานระยะยาว สำหรับแผนการลงทุนใน 3 ปีข้างหน้า(53-55)เตรียมงบไว้ 1 หมื่นล้านบาท โดยมีแหล่งเงินทุนมาจากกระแสเงินสดภายในปีละ 3-4 พันล้านบาท และที่เหลือเป็นเงินกู้ยืม ซึ่งแสดงให้เห็นศักยภาพในการเติบโตที่สดใส
ไตรมาส 4/53 เป็นช่วงซีซันของธุรกิจ ผลประกอบการจะกลับมาโดดเด่นอย่างมากอีกครั้ง จุดสำคัญมาจากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจะมีการรับรู้รายได้จากการโอนคอนโด St Regis จำนวน 6 ยูนิต รวมมูลค่า 1-1.5 พันล้านบาท มีกำไรสูงอย่างน้อย 200 ล้านบาท(Net Profit Margin เฉลี่ย 20-25%) มาเป็นตัวผลักดันกำไรงวด 4Q53 นอกจากนี้การเปิดโรงแรมใหม่ที่มัลดีฟท์ และธุรกิจอาหาร รวมถึงธุรกิจรับจ้างผลิตพร้อมจำหน่ายสินค้าของ MINOR ที่ยังขยายตัวจากการขยายสาขาเพิ่ม ทั้งปี 2553 คงคาดหมายกำไร 1.6 พันล้านบาท
ด้านบทวิเคราะห์ของ บล.ฟิลลิป มองว่า ธุรกิจของ MINT เริ่มกลับมามีทิศทางที่ดี โดยมองว่ากำไรผ่านจุดต่ำสุดใน 2Q53 แล้ว และจะเห็นกำไรเติบโตดีสุดใน 4Q53 สถานการณ์การท่องเที่ยวฟื้นตัวค่อนข้างเร็วกว่าในอดีตที่ต้องใช้เวลาประมาณ 4-5 เดือนหลังเกิดเหตุการณ์วุ่นวาย โดยในครั้งนี้เพียงแค่ 1-2 เดือน นักท่องเที่ยวเริ่มกลับมาฟื้นตัว
ข้อมูลจาก ธปท.จำนวนนักท่องเที่ยวลดลงต่ำสุดใน พ.ค.53 เป็น 0.8 ล้านคน แต่ มิ.ย.53 เพิ่มขึ้น 17.5%MoM เป็น 0.94 ล้านคน อีกทั้งยังมีปัจจัยหนุนจากนักท่องเที่ยวในประเทศมีแรงกระตุ้นใช้จ่ายพักโรงแรม จากมาตรการลดหย่อนภาษีจากค่าห้องพักโรงแรมจำนวน 15,000 บาท โดยสัดส่วนรายได้ธุรกิจโรงแรมจากนักท่องเที่ยวคนไทยใน ก.ค.53 เพิ่มขึ้นเป็น 25% จาก 2Q53 ที่ 14% และ 1Q53 ที่ 10% ซึ่งจากนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศที่ฟื้นตัว ส่งผลให้อัตราการเข้าพักโรงแรมใน ก.ค.53 ฟื้นตัวเป็น 49% เพิ่มขึ้นจาก 2Q53 ที่คาดว่าจะเฉลี่ยอยู่ที่ 41%
ผลประกอบการของ MINT ใน 2Q53 จะเป็นจุดต่ำสุดของปี และเริ่มปรับตัวดีขึ้น QoQ ใน 3Q53 และคาดว่าใน 4Q53 บริษัทจะมีกำไรเติบโตดีสุด โดยมีปัจจัยหนุนจากธุรกิจโรงแรมที่เป็น HighSeason และคาดว่าจะมีรับรู้รายได้จากขายเรสสิเดนซ์โครงการเซ้นต์ รีจีส
บริษัทยังเข้าซื้อกิจการโรงแรมในศรีลังกามูลค่า 11.6 ล้านเหรียญสหรัฐจากบริษัท Cyprea Private Limited มูลค่า 11.6 ล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 372.6 ล้านบาท โดยเข้าลงทุนในสัดส่วน 80% ของทุนจดทะเบียน 1,023.8 ล้านศรีลังการูปี เป็นโรงแรมระดับ 3 ดาว จำนวน 110 ห้อง และมีที่ดินสำหรับพัฒนาโครงการอีกประมาณ 25 ไร่ ซึ่งบริษัทมีแผนจะลงทุนสร้างโรงแรม 5 ดาวภายใต้ชื่ออนันตารา ปรับกำไรสุทธิ 53 ลดลง 2.8% เป็น 1,523 ล้านบาท เทียบ YoY เติบโต 8.8%
ทางฝ่ายได้ปรับกำไรสุทธิ 53 ลดลง 2.8% เป็น 1,523 ล้านบาท กำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 0.4649 บาท เนื่องจากปรับลดการขายดิ เอสเตท สมุยออกจากเดิมที่คาดว่าจะขาย 2 หลัง เป็นผลให้ยอดขายอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ลดลงจากคาดการณ์เดิม 21.5% จาก 1,273 ล้านบาท เป็น 1,000 ล้านบาท แต่อย่างไรก็ตามแม้จะปรับกำไรสุทธิลดลง แต่ระยะยาวธุรกิจยังเติบโตได้