นายสุทธิรักษ์ เสถียรภาพอยุทธ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ. ธนาสิริกรุ๊ป(THANA)เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่ายอดพรีเซลในปีนี้จะเติบโตราว 30-40% มาที่ 950-1.1 พันล้านบาท โดยครึ่งปีแรกโตไปแล้ว 47% ส่วนรายได้คาดว่าจะอยู่ที่ 850-950 ล้านบาท ขณะที่ครึ่งปีแรกมีรายได้ 484 ล้านบาท และมียอดขายรอโอน 190 ล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัทเปิดโครงการใหม่ 4 โครงการในปีนี้ มูลค่ารวมทั้งหมด 1.4 พันล้านบาท แบ่งเป็นโครงการที่ จ.นนทบุรี ซึ่งพัฒนาเป็นโครงการแนวราบ และ 1 โครงการที่ จ.ภูเก็ต จะเป็นทาวน์โฮม และอาคารพาณิชย์ 3 ชั้น
บริษัทจะเน้นจุดแข็งในการดำเนินธุรกิจ ทั้งการขยายโครงการด้วยการซื้อที่ดินเพิ่มเติม 2-3 แปลงเพื่อรองรับการขยายโครงการในอนาคต และในด้านการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับของลูกค้า ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการสำรวจลุกค้าและคู่แข่งเพื่อสร้างตวามแตกต่างในแบบบ้าน ขณะที่ด้านการตลาดได้มีการสร้างแบรด์ และการวางสินค้าให้ชัดเจน โดยเฉพาะการก่อสร้างได้มีการใช้ระยะเวลาในการก่อสร้าง 4.5 เดือนและนำการก่อสร้างแบบ Multiple Linear Process มาใช้
นายสุทธิรักษ์ กล่าวอีกว่า บริษัทคาดว่ายอดโอนในไตรมาส 3/53 จะลดลงจากไตรมาส 1/53 และไตรมาส 2/53 เนื่องจากผู้ซื้อเร่งโอนในช่วงครึ่งปีแรกเพื่อได้รับสิทธิมาตรการภาษีกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ แต่เชื่อว่ารายได้ไตรมาส 3/53 จะเติบโต 10-15% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 153 ล้านบาท
และคาดว่ารายได้ในไตรมาส 4/53 จะปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะจะรับรู้รายได้จากการเปิดขายโครงการใหม่ในปีนี้ คือ โครงการ เดอะ คลัสเตอร์ วิว 2 ราชพฤกษ์-พระราม 5 และ เดอะ คลัสเตอร์ วิว 3 ปิ่นเกล้า-ราชพฤกษ์
บริษัทมีแผนจะซื้อที่ดินเพิ่มไม่ต่ำกว่า 2 แปลงเพื่อรองรับการพัฒนาโครงการใหม่ปี 54-55 โดยได้เตรียมงบลงทุนอีก 200-300 ล้านบาทสำหรับการซื้อที่ดินดังกล่าว ก่อนหน้านี้บริษัทได้ใช้เงินซื้อที่ดินไปแล้ว 400 ล้านบาทจากที่เตรียมไว้ 500 ล้านบาท ซึ่งจะเน้นโซนนนทบุรีให้แน่นก่อนจะขยายไปที่โซนอื่น ซึ่งจะใช้โมเดลธุรกิจเดียวกัน
"ปีหน้าก็ยังมองโซนเดิมอยู่ คือนนทบุรี เนื่องจากจะเห็นภาพความชัดเจนของระบบคมนาคมขนส่งทั้งรถไฟฟ้าสายสีแดงและสายสีม่วง และจะมีการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาเพิ่มอีก 1 สะพาน ประกอบกับจะมีการขุดอุโมงค์ราชพฤกษ์ ขยายเส้นทางจากเดิม 6 เลนเป็น 10 เลน มองว่าโซนนี้ยังมีศักยภาพที่ดี"นายสุทธิรักษ์ กล่าว
ปัจจัยเสี่ยงในครึ่งปีหลัง คือ แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นที่อาจกระทบกำลังซื้อของผู้บริโภค ,ราคาวัสดุก่อสร้างอาจปรับเพิ่มขึ้น แต่เบื้องต้นบริษัทได้ล็อคต้นทุนบางส่วนไว้แล้ว โดยเฉพาะกระเบื้องและสุขภัณฑ์ ขณะที่ราคาเหล็กยังผันผวน แต่ก็เชื่อว่าจะทำให้ต้นทุนโดยรวมปรับเพิ่มขึ้นไม่เกิน 5% ส่วนมาตรการภาษีที่สิ้นสุดลง ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นประมาณ 3.3%
อนึ่ง บริษัทคาดว่าในปีนี้จะมีอัตรากำไรขั้นต้น 31-33% จากปีก่อนอยู่ที่ 33.7% ส่วนอัตรากำไรสุทธิในปีนี้อยู่ที่ 9.5-10.5% จากปีก่อน 8.7%
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังไม่มีแผนจะปรับขึ้นราคาขายบ้าน แต่จะพยายามรักษาไว้ในระดับเดิม โดยจะใช้การบริหารต้นทุนและใช้เครื่องมือทางการเงินที่เหมาะสม ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาออกตั๋วบี/อีเพิ่มเติม หลังจากที่ผ่านมาได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นให้ออกไปแล้ววงเงิน 120 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 4%
นายสุทธิรักษ์ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันบริษัทยังคงเน้นการพัฒนาโครงการแนวราบอยู่ ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายทางธุรกิจของบริษัท แต่หากคณะกรรมการบริษัทมีนโยบายที่ต้องการเติบโตมากกว่านี้ บริษัทก็อาจจะศึกษาการพัฒนาโครงการประเภทคอนโดมิเนียมเริ่มจากระดับ 8 ชั้น