BCP คาดผลประกอบการ Q3/53 ต่ำกว่า Q2/53 เหตุอาจมี stock loss

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday September 1, 2010 12:44 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นางสาวณินทิรา อภิสิงห์ ผู้อำนวยการการเงินและสินเชื่อ บมจ.บางจากปิโตรเลียม(BCP)เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาส 3/53 ผลประกอบการจะปรับลดลงจากไตรมาส 2/53 เนื่องจากคาดว่าจะมีขาดทุนสต็อกน้ำมัน เป็นผลจากราคาน้ำมันตลาดโลกปรับตัวลดลง แต่บริษัทยังมีความหวังบ้างว่าราคาน้ำมันจะปรับเพิ่มขึ้นมาในช่วง 1 เดือนที่เหลือ แม้ว่าจะเป็นเรื่องยาก

ส่วนในช่วงไตรมาส 4/53 คาดว่าราคาน้ำมันในตลาดโลกน่าจะปรับตัวดีขึ้น จากปัจจัยต่างๆ ทั้งด้านเศรษฐกิจโลกที่ขยายตัวได้ดีขึ้น และความต้องการใช้น้ำมันสูงขึ้น

บริษัทคาดว่ากำลังการกลั่นทั้งปี 53 จะทำได้ตามเป้าหมายที่ 9 หมื่นบาร์เรล/วัน แม้ว่าครึ่งปีแรกมีกำลังการกลั่นเฉลี่ย 8.3 หมื่นบาร์เรล/วัน เนื่องจากไตรมาส 3/53 เริ่มมีกำลังการผลิตสูงขึ้นเป็น 9.3-9.5 หมื่นบาร์เรล/วัน โดยการกลั่นที่ระดับ 9.5 หมื่นบาร์เรล/วันถือว่าเป็นระดับที่มีจุดคุ้มทุนสูงสุด อย่างไรก็ดี ปีนี้บริษัทคงจะไม่ทำการกลั่นถึง 1 แสนบาร์เรล/วัน เพราะอาจทำให้มาร์จิ้นลดลง ซึ่งไม่ส่งผลดีกับบริษัท

สำหรับค่าการกลั่น(GRM)เฉลี่ยในปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 5.5-6.0 เหรียญ/บาร์เรล โดยครึ่งปีแรกอยู่ระดับใกล้เคียงกับที่คาดการณ์ไว้ ส่วนค่าการกลั่นรวมเฉลี่ย(GIM) ในช่วงครึ่งหลังน่าจะได้เห็น 7-8 เหรียญ/บาร์เรล จากครึ่งปีแรกที่อยู่ในระดับ 7.37 เหรียญ/บาร์เรล

"GIM ครึ่งปีหลังน่าจะดีขึ้นกว่าครึ่งปีแรก น่าจะสูงกว่า 7.37 เหรียญ เพราะมองว่าค่าการตลาดยังอยู่ในะรดับดีต่อเนื่องและค่าการกลั่นในช่วงไตรมาส 4 น่าจะดีตามทิศทางาราคาน้ำมัน ที่ไตรมาส 4 น่าจะกลับมาดีอีกครั้ง"นางสาวณินทิรา กล่าว

นางสาวณินทิรา กล่าวถึงธุรกิจพลังงานสะอาดว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการลงทุนโครงการโซล่าร์ฟาร์มขนาด 120 เมกะวัตต์ โดยเฟสแรก 38 เมกะวัตต์จะแล้วเสร็จในไตรมาส 4/54 และจะรับรู้ EBITDA ประมาณ 200 ล้านบาท จากนั้นคาดว่าจะเสร็จทั้งในไครงการในช่วงปี 56-57 คาดว่าจะรับรู้ EBITDA ถึง 2 พันล้านบาทต่อปี

ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายในแผน 5 ปี (53-57)จะมี EBITDA แตะ 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งมีสัดส่วนมาจากธุรกิจพลังงานทางเลือก 20-30% และธุรกิจโรงกลั่นจะลดลงเหลือ 50% จากปัจจุบันที่อยู่ในระดับ 70% และอีก 20-30% จะเป็นธุรกิจสถานีบริการน้ำมัน

ขณะที่การลงทุนโครงการเอทานอล ขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรร่วมทุน และจะสรุปได้ภายในปีนี้ ซึ่งคาดว่าจะใช้เงินลงทุนไม่มาก โดยเข้าซื้อบริษัทที่ทำธุรกิจเอทานอลอยู่แล้วที่ใช้มันสำปะหลังและอ้อยเป็นวัตถุดิบในการผลิต ด้านโครงการโปแตช เชื่อว่าบริษัทจะเริ่มเห็นความชัดเจนในระยะ 3-5 ปี และมั่นใจว่าเป็นการลงทุนไม่สูญเปล่า โดยสัดส่วนถือหุ้น 16% ซึ่งบริษัทลงุทน 178 ล้านบาท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ