บมจ.อมตะ คอร์ปอเรชั่น(AMATA) ระบุว่า บริษัทจะเซ็นสัญญาขายที่ดินให้กับลูกค้ารายใหญ่ 11-12 รายในช่วงเดือน ก.ย.53 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกค้าเดิมที่มีแผนขยายกำลังการผลิต และจากปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลให้ยอดขายที่ดินในปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 1.5- 2.0 พันไร่ จากเป้าหมายเดิมที่บริษัทตั้งไว้ที่ 900 ไร่ ขณะที่รายได้ในปีนี้ก็จะปรับเพิ่มขึ้นด้วย โดยคาดว่าจะมีรายได้ 4-4.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีรายได้ 1 พันล้านบาท
"ที่กล้าปรับเป้า เพราะมีความเชื่อมั่นว่ามีความเป็นไปได้ 97-98% ภายใต้การเมืองปัจจุบัน และเป็น Cycle ของลูกค้าที่จะกลับมาใหม่ โดยเฉพาะลูกค้าเดิมที่ขยายกำลังการผลิตมากว่าครึ่ง โดยเฉพาะลูกค้าญี่ปุ่น มองว่าฐานการผลิตไทยมั่นคง ขณะที่ยุโรป สหรัฐ ก็ยังเชื่อมั่น" นายวิบูลย์ กรมดิษฐ์ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่ปฎิบัติการ AMATA กล่าว
ส่วนเรื่องการเมืองในประเทสไทยนั้น นายวิบูลย์ กล่าวว่า ต่างประเทศยังเชื่อมั่นการทำธุรกิจในประเทศไทย เพราะ production base ไทยแข็งแรง ซึ่งขณะนี้นักลงทุนแยกปัญหาการเมืองออกไปแล้ว ขณะที่ Cost of Living ของไทยไม่ได้ปรับเพิ่มขึ้นมาก และไทยมีความประนีประนอม ส่วนปัญหามาบตาพุดนั้น ต่างชาติอาจกังวลและอาจมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นบ้าง
"ที่ปรับเป้ารายได้ เพราะเรามีความพร้อม โดยจะบุ๊ครายได้เข้ามาทั้งหมดในไตรมาส 3-4 ปีนี้ ตอนนี้มีอยู่ 1.4 หมื่นไร่ อมตะนคร 8.5 พันไร่ อมตะซิตี้ 5.5 พันไร่ การขายที่ดินปรับเพิ่มอีก 600 ไร่ ไม่ได้ทำให้ลำบาก แต่ถ้าขายไม่ได้จะลำบาก และราคาก็ยังปกติไม่ได้ปรับ ราคาถือเป็นราคาที่ถูก"นายวิบูลย์ กล่าว
ทั้งนี สัดส่วนรายได้จากขายที่ดินในปีนี้อยู่ที่ระดับ 75%
นายวิบูลย์ กล่าวถึงราคาหุ้น AMATA ที่ปรับเพิ่มขึ้นว่า นักวิเคราะห์และนักลงทุนคงมองเห็นอนาคต เพราะ AMATA ถึงจะมีหนี้ แต่เป็น Clean Loan สามารถจ่ายได้แม้วิกฤต และการที่ NVDR มีสัดส่วนถือหุ้นเพิ่มขึ้นแสดงให้เห็นว่าเชื่อมั่นในพื้นฐานของบริษัท ราคาหุ้นที่ขึ้นมาคิดว่าสะท้อนปัจจัยพื้นฐาน แต่คิดว่าพื้นฐานยังไปได้อีก