โบรกฯเชียร์"ซื้อ"CK เป็นหุ้น Domestic play ที่น่าสนใจ/Backlog เพิ่มสูง

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday September 1, 2010 14:46 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โบรกเกอร์ เห็นพ้องแนะ"ซื้อ"หุ้น บมจ.ช.การช่าง(CK)มองเป็นผู้รับเหมารายใหญ่ และจัดเป็นหุ้นในกลุ่ม Domestic play ที่ได้รับความสนใจเข้ามาลงทุนในช่วงนี้ค่อนข้างมาก อีกทั้งปัจจุบันมีงานในมือ(Backlog)สูงกว่า 30,000 ล้านบาท รวมทั้งยังมีศักยภาพที่จะได้งานก่อสร้างเขื่อนไชยะบุรีมูลค่ากว่า 7.6 หมื่นล้านบาท คาดรู้ผลภายในปีนี้ ซึ่งจะทำให้ Backlog พุ่งขึ้นเป็นแสนล้านบาท

CK ยังจะได้รับประโยชน์จากงบรายจ่ายภาครัฐในปีงบประมาณ 54 ซึ่งจะมีการลงทุนด้านสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานค่อนข้างมาก ปัจจุบัน Backlog ของ CK มีงานรถไฟฟ้าสายสีม่วง และสีน้ำเงิน สัญญา 2 และสัญญา 5 ขณะที่ภาครัฐยังมีงานประมูลโครงการรถไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงโครงการรถไฟรางคู่, รถไฟความเร็วสูง ดังนั้น CK ก็มีโอกาสที่จะได้งานด้วยเช่นกัน

อีกทั้ง CK ยังมีการรับรู้ผลตอบแทนจากการลงทุน เช่น การถือหุ้น TTW ซึ่งเป็นหุ้นที่มี value สูง และหุ้น BECL, BMCL อีกทั้งยังมี บริษัท เซาท์อีสท์ เอเชีย เอนเนอร์จี จำกัด(SEAN)ซึ่งทำโรงไฟฟ้าที่ประเทศลาว เป็นต้น

สำหรับผลการดำเนินงานของ CK ในปีนี้คาดว่ายังมีผลขาดทุนอยู่ในช่วง 74-1,157 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับปีที่แล้วที่มีกำไรสุทธิ 90 ล้านบาท เนื่องจากงานในมือมีการขาดช่วงการรับรู้รายได้ อย่างไรก็ดี ในปีหน้าคาดว่าจะพลิกกลับมาเป็นผลกำไรได้ โดยคาดว่าจะมีกำไรสุทธิในช่วง 400-827 ล้านบาท

อนึ่ง ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กำหนดให้สมาชิกต้องดำเนินการต้องให้ลูกค้าซื้อหลักทรัพย์โดยวางเงินสดไว้ล่วงหน้าเต็มจำนวนก่อนการซื้อ(Cash Balance) สำหรับหลักทรัพย์ บมจ.ช.การช่าง(CK)ตั้งแต่วันที่ 30 ส.ค.-17 ก.ย. 53

          โบรกเกอร์                     คำแนะนำ       ราคาเป้าหมาย(บาท/หุ้น)
          CLSA                           ซื้อ               13.00
          บล.เอเชีย พลัส                   ซื้อ               10.51
          บล.ยูไนเต็ด                      ซื้อ                9.80
          บล.กสิกรไทย                     ซื้อ                9.50
          บล.โกลเบล็ก                     ซื้อ                9.35
          บล.ฟินันเซีย ไซรัส                 ซื้อ                9.05
          บล.ยูโอบี เคย์เฮียน                ซื้อเก็งกำไร         8.70
          บล.เกียรตินาคิน                   ซื้อ                8.45
          บล.ทิสโก้                        ซื้อ                8.20
          บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย)    ซื้อ                8.40

นายสรพงษ์ จักรธีรังกูร Vice Persident สายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย แนะ"ซื้อ"หุ้น CK ด้วยราคาเป้าหมาย 9.50 บาท/หุ้น เนื่องจากเป็นผู้รับเหมารายใหญ่ และปัจจุบันมี Backlog ปรับตัวขึ้นมาสูงมากกว่า 30,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ ยังมีศักยภาพที่จะได้งานก่อสร้างเขื่อนไชยะบุรีมูลค่ากว่า 7.6 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะรู้ผลภายในปีนี้ หากได้งานเข้ามาก็จะทำให้ Backlog วิ่งขึ้นเป็นแสนล้านบาท แต่หากไม่ได้ Backlog ก็อยู่ในระดับที่สูงอยู่แล้ว หลังจากได้งานโครงการรถไฟฟ้ามูลค่ารวมประมาณ 26,000-27,000 ล้านบาท

สำหรับผลการดำเนินงานของ CK ในปี 53 คาดว่ายังมีผลขาดทุนประมาณ 390 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับปีที่แล้วที่มีกำไรสุทธิ 90 ล้านบาท โดยช่วงครึ่งแรกปีนี้มีผลขาดทุน 360 ล้านบาท เนื่องจากรายได้จากงานใหม่ไม่เข้า ส่วนช่วงครึ่งปีหลังต่อให้มีผลกำไร แต่เมื่อคิดทั้งปีก็น่าจะยังมีผลขาดทุนอยู่

อย่างไรก็ดี ในปี 54 คาดว่า CK จะมีผลการดำเนินงานที่พลิกกลับมาเป็นผลกำไรได้ โดยคาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 400 ล้านบาท เป็นผลจาก Backlog ที่เพิ่มขึ้นในปีนี้ และในปีหน้าก็จะรับรู้ผลกำไรจากการลงทุนโรงไฟฟ้าน้ำงึม 2 หลังจากที่ได้มีการสร้างเสร็จในปีนี้

น.ส.วิชชุดา ปลั่งมณี รองผู้อำนวยการส่วนวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน บล.เกียรตินาคิน กล่าวว่า ก่อนหน้านี้แนะ"ซื้อ"หุ้น CK ด้วยราคาเป้าหมาย 8.45 บาท/หุ้น แต่ระดับราคาหุ้นในปัจจุบันได้ปรับตัวขึ้นมามากแล้ว จึงเห็นว่าควรจะรอซื้อเมื่อราคาอ่อนตัวลง

ทั้งนี้ CK ขณะนี้มีประเด็นที่น่าสนใจในเรื่องการรับงานที่ฟื้นตัวขึ้น โดยขณะนี้มีการรับงานอย่างต่อเนื่อง และในช่วงไตรมาส 4/53 ก็จะมีความชัดเจนเกี่ยวกับงานก่อสร้างเขื่อนไชยะบุรีมูลค่ากว่า 7.6 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ดี งานที่ CK รับมาในปีนี้กว่าที่จะรับรู้รายได้ก็คงจะเป็นปีหน้าที่จะเห็นรายได้เข้ามาอย่างชัดเจน

นอกจากนั้น งบประมาณของภาครัฐในปี 54 ดูเหมือนยังมีงบฯที่เป็นโครงการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานอยู่ค่อนข้างมาก และ CK ก็น่าจะได้รับประโยชน์จากตรงนี้อย่างต่อเนื่องด้วย ปัจจุบัน Backlog ของ CK มีประมาณ 27,038 ล้านบาท ซึ่งได้รวมงานรถไฟฟ้าสายสีม่วง และสีน้ำเงิน สัญญา 2 และสัญญา 5 แล้ว ภาครัฐฯยังมีงานประมูลโครงการรถไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังมีโครงการรถไฟรางคู่, รถไฟความเร็วสูง ซึ่ง CK ก็มีโอกาสที่จะได้งานด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้ CK ยังมีการรับรู้รายได้จากการลงทุนใน BECL, BMCL และ TTW ด้วย ซึ่ง BECL และ TTW ก็สร้างรายได้ให้กับ CK ได้มาก ส่วน BMCL ยังรอการฟื้นตัวอยู่ หากฟื้นตัวได้แล้วก็จะสร้างรายได้ให้กับ CK ได้ด้วยเช่นกัน

สำหรับผลการดำเนินงานในปีนี้คาดว่า CK จะมีผลขาดทุน 74 ล้านบาท ลดลงจากปีที่แล้วที่มีผลกำไร 90 ล้านบาท เนื่องจากปีที่แล้วไม่ค่อยมีงานเข้าทำให้การรับรู้รายได้ขาดช่วงไป อย่างไรก็ดีปีนี้ CK มีงานเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้คาดว่าปีหน้าจะสามารถพลิกเป็นผลกำไรได้ 697 ล้านบาท

นายสมบัติ เอกวรรณพัฒนา ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย)กล่าวว่า แม้ว่าผลประกอบการของ CK ในปีนี้จะไม่ค่อยดี แต่ยังมีกำไรจากรายการพิเศษเข้ามาช่วย และในปีหน้าผลการดำเนินงานจะกลับมาแข็งแกร่ง จากงานประมูลมีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นงานการสร้างรัฐสภาแห่งใหม่, การก่อสร้างสุวรรณภูมิ เฟส 2, รวมไปถึงโครงการรถไฟฟ้า, รถไฟความเร็วสูง, รถไฟรางคู่ เป็นต้น อีกทั้ง CK จัดเป็นหุ้นในกลุ่ม Domestic play ซึ่งได้รับความสนใจในการเข้ามาลงทุนในช่วงนี้ค่อนข้างมาก

ทั้งนี้ ในส่วนของรายการพิเศษของ CK ปีนี้ เท่าที่ออกมาแล้วก็ในไตรมาส 2/53 ได้รับการยกเว้นดอกเบี้ยค้างจ่ายจากเจ้าหนี้จำนวน 144 ล้านบาท ทำให้ผลการดำเนินงานมีกำไรสุทธิ 22 ล้านบาท ส่วนครึ่งหลังปีนี้มองว่าไม่น่าจะมีรายการพิเศษแล้ว

อย่างไรก็ดี CK ยังมีการรับรู้ผลตอบแทนจากการไปลงทุนด้วย อย่างที่ไปถือหุ้น TTW ซึ่งเป็นหุ้นที่มี value สูง และหุ้น BECL ก็ให้ผลตอบแทนที่ทรงตัว ส่วนหุ้น BMCL หากฟื้นตัวก็จะให้ผลตอบแทนที่ดีได้ในอนาคต อีกทั้งยังมี SEAN ที่ทำโรงไฟฟ้าน้ำงึมในลาว ซึ่งบริษัทฯนี้ยังไม่ได้เข้าตลาดฯ ต่อไปหากเข้าจดทะเบียนในตลาดฯก็จะให้ผลตอบแทนที่ดี

พร้อมคาดการณ์ผลการดำเนินงานของ CK ในปีนี้จะขาดทุน 1,157 ล้านบาท เนื่องจากงานในมือมีการขาดช่วงการรับรู้รายได้ แต่ในปีหน้าคาดว่าจะพลิกกลับมาเป็นผลกำไรสุทธิได้ 827 ล้านบาท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ