นางสาวชมเดือน ศตวุฒิ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ไทย เอ็น ดี ที(TNDT) กล่าวว่า ในเดือนต.ค.จะมีการเซ็นสัญญาร่วมกับธุรกิจในลบาวและพม่า คาดว่าจะถือหุ้นมากกว่า 50%
ส่วนที่เวียดนามคงต้องชะลอไว้ก่อน แต่เชื่อว่าจะได้ข้อสรุปภายในปีนี้ว่าจะตัดสินใจอย่างไรต่อไป เพราะยังติดปัญหาความเห็นไม่ตรงกับพันธมิตรที่เจรจาอยู่ และการเจรจาในอินโดนีเซียก็ยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้เช่นกัน เนื่องจากติดปัญหาบางประการ
"ส่วนแหล่งเงินทุนที่จะใช้ร่วมทุนได้เตรียมไว้แล้ว ต้องหาแหล่งเงินทุนที่ปลอดภัยที่สุด ศึกษาอย่าง conservative เราจริงจังพอ ๆ กับการโอกาสที่จะไปหางานในต่างประเทศ"นางสาวชมเดือน กล่าว
สำหรับผลประกอบการในปีนี้ นางสาวชมเดือน คาดว่า รายได้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ 360 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อนที่มีรายได้ 290 ล้านบาท แม้ว่าครึ่งปีแรกจะมีรายได้แค่ 120 ล้านบาท แต่ครึ่งหลังของปีมีโอกาสเติบโตในทิศทางที่ดีกว่าช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา เนื่องจากปัจจัยทางการเมืองนิ่ง ส่งผลให้สถานการณ์ต่างๆ ดีขึ้น สะท้อนให้ธุรกิจปรับตัวดีขึ้นในทิศทางเดียวกัน
ขณะนี้มีงานในมือ(backlog)150 ล้านบาท และจะมีการยื่นประมูลอีก 120 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นงานต่างประเทศ บริษัทคาดหวังว่าจะได้งานในส่วนนี้กว่า 50% และในไตรมาส 4/53 อาจมีงานที่บริษัทจะเข้าประมูลเพิ่มเติมอีก ซึ่งจะทำให้รายได้เป็นไปตามคาดการณ์
"ครึ่งปีหลังก็จะเพิ่มงานในส่วน advance technology ที่มีมาร์จิ้นสูง ถ้าได้งานพวกนี้เพิ่มก็จะทำให้กำไรดีขึ้นด้วย กำไรสุทธิปีนี้ก็น่าจะใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 65 ล้านบาท แม้ว่าครึ่งปีแรกจะกำไรลดลงจากครึ่งแรกของปีก่อน แต่เชื่อว่าครึ่งปีหลังกำไรก็น่าจะสูงขึ้น เพราะงานอั้นมาจากครึ่งปีแรก และรายได้ก็สูงกว่า อีกทั้งได้ BOI เข้ามาช่วย"นางสาวชมเดือน กล่าว
TNDT กำไรครึ่งแรกของปี 53 ที่ 21 ล้านบาท ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไร 23.4 ล้านบาท
บริษัทฯ ยังคงเดินหน้ารับงานใหม่ทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง เช่น มาดากัสการ์ ลาว พม่า ทำให้รายได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยคาดว่ารายได้จากงานในต่างประเทศภายในสิ้นปีนี้จะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 1-2% จากปัจจุบันที่อยู่ในระดับไม่ถึง 5% ของรายได้รวม
ขณะที่ศูนย์บริการทดสอบและตรวจสอบด้านวิศวกรรมบริการที่จังหวัดระยอง ซึ่งปัจจุบันการก่อสร้างคืบหน้าไปแล้วกว่า 80% คาดว่าภายในเดือน ก.ย.53 ศูนย์ดังกล่าวจะเสร็จเรียบร้อยสามารถให้บริการเชิงพาณิชย์ได้อย่างเป็นทางการ ซึ่งจะเป็นศูนย์ประสานงานหน่วยปฏิบัติการของบริษัทฯ ตลอดจนเพื่อรองรับการให้บริการลูกค้าแบบครบวงจร รวมทั้งช่วยเพิ่มศักยภาพและความรวดเร็วในการให้บริการสามารถลดต้นทุนในการเดินทางและขนส่งได้เป็นอย่างดี
รวมทั้งรองรับการขยายธุรกิจของบริษัทฯ ทั้งในประเทศและต่างประเทศได้อย่างคล่องตัวขึ้น ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยผลักดันให้รายได้รวมในปีนี้เป็นไปตามเป้าหมายที่ 360 ล้านบาทได้สำเร็จ จากปีก่อนที่ทำได้ 295.09 ล้านบาท
สำหรับผลประกอบการในไตรมาส 2/53 ออกมามีกำไรสุทธิอยู่ที่ 13.36 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 12.32 ล้านบาท แต่ถือว่าต่ำกว่าที่บริษัทฯ คาดไว้ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากปัจจัยทางการเมือง ซึ่งส่งผลให้ภาวะเศรษฐกิจชะลอและทำให้งานต่างๆ ลดลงด้วย แต่อย่างไรก็ตาม ถือว่าพอใจเพราะผลประกอบการยังเติบโตได้ ท่ามกลางปัจจัยที่ไม่เอื้ออำนวย ซึ่งเป็นผลมาจากบริษัทฯ ทำงานหนักมากขึ้นไม่ได้หยุดนิ่ง จึงทำให้ผลงานที่ออกมายังมีทิศทางที่ดีดังกล่าว